ทีมนักดาราศาสตร์นานาชาติใช้ชุดข้อมูลที่รวมการสำรวจจากกล้องโทรทรรศน์ที่ดีที่สุดบนโลก
ซึ่งรวมทั้งกล้องซูบารุ เพื่อตรวจจับสัญญาณจากหลุมดำมวลมหาศาลที่มีกิจกรรมสูงในกาแลคซีที่ตายแล้วในเอกภพยุคต้น
ลักษณะปรากฏของหลุมดำมวลมหาศาลที่มีกิจกรรมสูงเหล่านี้
มีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในกาแลคซีต้นสังกัด โดยบอกว่าหลุมดำอาจจะมีผลกระทบยาวไกลต่อวิวัฒนาการของกาแลคซีต้นสังกัดของมัน
กาแลคซีทางช้างเผือกมีดาวที่มีหลากหลายช่วงอายุ
รวมทั้งก็ยังก่อตัวดาวอยู่ แต่ในกาแลคซีที่เรียกว่า กาแลคซีทรงรี(elliptical
galaxies) ดาวทั้งหมดของมันมีอายุมากและมีอายุใกล้เคียงกันหมด
นี่บ่งชี้ว่าในช่วงต้นของความเป็นมาของพวกมัน กาแลคซีทรงรีมีช่วงเวลาที่มีการก่อตัวดาวอย่างคึกคักแล้วก็หยุดลงอย่างฉับพลัน
เพราะเหตุใด การก่อตัวดาวนี้จึงหยุดลงในกาแลคซีบางแห่ง แต่บางแห่งก็ไม่เป็น
ความเป็นไปได้ทางหนึ่งก็คือ หลุมดำมวลมหาศาลได้รบกวนก๊าซในกาแลคซีบางแห่ง
สร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อการก่อตัวของดาว
เพื่อทดสอบทฤษฎีนี้
นักดาราศาสตร์ได้พิจารณาไปที่กาแลคซีที่ห่างไกล
อันเนื่องจากความเร็วของแสงที่จำกัด แสงต้องใช้เวลาเพื่อเดินทางข้ามห้วงอวกาศ
แสงที่เราเห็นจากวัตถุแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป 10 พันล้านปีแสง ก็ต้องเดินทางมา 1 หมื่นล้านปีเพื่อมาถึงโลก ดังนั้น แสงที่เราเห็นทุกวันนี้จึงแสดงสิ่งที่กาแลคซีเป็นเมื่อแสงออกจากกาแลคซาเมื่อ
1 หมื่นล้านปีก่อน
ดังนั้น การมองกาแลคซีที่ห่างไกลก็เหมือนการมองย้อนเวลา
แต่ระยะทางที่คั่นกลางก็ยังหมายถึงว่ากาแลคซีห่างไกลจะดูสลัวลง
ทำให้การศึกษาเป็นไปได้ยาก
เพื่อเอาชนะความยากลำบากเหล่านี้
ทีมนานาชาติที่นำโดย Kei Ito ที่บัณฑิตมหาวิทยาลัยเพื่อการศึกษาชั้นสูง
SOKENDAI ในญี่ปุ่น
ได้ใช้ COSMOS(Cosmic Evolution Survey) เพื่อเก็บตัวอย่างกาแลคซีที่อยู่ไกลออกไป
9.5 ถึง 12.5
พันล้านปีแสง COSMOS รวมข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์ชั้นนำบนโลก ซึ่งรวมถึง
ALMA(Atacama Large Millimeter/submillimeter Array) และกล้องซูบารุ COSMOS ยังรวมข้อมูลคลื่นวิทยุ, แสงอินฟราเรด,
แสงที่ตาเห็นได้ และรังสีเอกซ์
ตอนแรก
ทีมใช้ข้อมูลช่วงตาเห็นและอินฟราเรดเพื่อจำแนกกาแลคซี 2 กลุ่ม คือ พวกที่มีการก่อตัวดาวอยู่ กับพวกที่หยุดก่อตัวดาวแล้ว
ก้าวต่อไปจึงใช้ข้อมูลรังสีเอกซ์และคลื่นวิทยุเพื่อจำแนกกิจกรรมของหลุมดำ
เมื่อหลุมดำมวลมหาศาลแอคทิฟ มันจะกลืนกินวัสดุสารจำนวนมหาศาลจากอวกาศรอบข้าง
กระบวนการนี้เป็นไปอย่างวุ่นวายและรุนแรง
พื้นที่สำรวจ COSMOS
ล้อมรอบด้วยภาพของกาแลคซีที่ใช้ในการศึกษานี้
ในกาแลคซีเหล่านี้ การก่อตัวดาวได้หยุดลงเมื่อราว 10 พันล้านปีก่อน(ภาพรวมประกอบสีเพี้ยนสามสี
รวมข้อมูลจากกล้องซูบารุและ VISTA
เราทั้งหมดทราบกันดีว่าไม่มีสิ่งใดที่หนีออกจากขอบฟ้าสังเกตการณ์ของหลุมดำได้
แต่ห้วงอวกาศรอบๆ มันก็เป็นคนละเรื่องกัน เมื่อวัสดุสารหมุนวนไปรอบๆ
หลุมดำเหมือนกับน้ำที่ไหลลงสู่ท่อน้ำทิ้ง
แรงโน้มถ่วงและแรงเสียดทานสร้างการแผ่รังสีที่เข้มข้นที่สาดไปทั่วเอกภพ
กระบวนการนี้จะสร้างสิ่งที่เรียกว่า กลไกย้อนกลับ(feedback) อีกกลไกย้อนกลับเกิดในรูปของไอพ่นที่ยิงออกจากพื้นที่ขั้วหลุมดำ
วัสดุสารนอกขอบฟ้าสังเกตการณ์ถูกเร่งความเร็วตามสนามแม่เหล็กไปรวมศูนย์ที่ขั้ว
สร้างไอพ่นพลาสมาลำแคบที่เดินทางด้วยความเร็วที่เป็นสัดส่วนความเร็วแสง
และสุดท้าย อีกกลไกย้อนกลับหนึ่งจะสร้างลมที่รุนแรงที่กวาดออกจากกาแลคซี
กลไกย้อนกลับทั้งสามรูปแบบ(การแผ่รังสี, ไอพ่น และลม)
จะทำให้โมเลกุลก๊าซเย็นที่ต้องใช้เพื่อการก่อตัวดาวใหม่ๆ ร้อนขึ้นและถูกผลักหายไป
ข้อมูลรังสีเอกซ์และคลื่นวิทยุนั้นมีอัตราส่วนสัญญาณต่อสัญญาณกวน(signal-to-noise
ratio) ที่อ่อนเกินกว่าจะใช้จำแนกกาแลคซีแต่ละแห่งได้
ดังนั้นทีมจึงรวมข้อมูลจากกาแลคซีแต่ละแห่งเพื่อสร้างภาพ “กาแลคซีโดยเฉลี่ย”
ที่มีอัตราส่วนสัญญาณต่อสัญญาณกวนที่สูงขึ้น ในภาพเฉลี่ย
ทีมได้ยืนยันการเปล่งรังสีเอกซ์และคลื่นวิทยุจากกาแลคซีที่หยุดก่อตัวดาวแล้ว ในกาแลคซีที่กำลังมีการก่อตัวดาวจะมีสัญญาณจากกิจกรรมของหลุมดำที่อ่อนกว่า
นี่เป็นครั้งแรกที่มีการตรวจสอบการเปล่งคลื่นเหล่านั้นจากกาแลคซีที่ห่างไกลมากกว่า
10 ล้านปีแสง
ยิ่งกว่านั้น
ผลสรุปได้แสดงว่าการเปล่งรังสีเอกซ์และคลื่นวิทยุนั้นรุนแรงเกินกว่าจะอธิบายได้ด้วยดาวฤกษ์ในกาแลคซีเพียงอย่างเดียว
ซึ่งบ่งชี้ว่าการมีอยู่ของหลุมดำมวลมหาศาลที่เปี่ยมด้วยกิจกรรม
ผลจากกิจกรรมของหลุมดำ ได้สร้างไอพ่น, การแผ่รังสีพลังงานสูง และลม ซึ่งกลายเป็นกลไกย้อนกลับ
ผลสรุปเผยแพร่ใน Astrophysical
Journal แสดงถึงการหยุดก่อตัวดาวลงอย่างฉับพลันในเอกภพยุคต้นนั้นมีความเกี่ยวข้องกับกิจกรรมหลุมดำมวลมหาศาลที่เพิ่มสูงขึ้น
ยังคงต้องการงานวิจัยเพิ่มเติมขึ้นเพื่อตรวจสอบรายละเอียดความสัมพันธ์ดังกล่าว
แหล่งข่าว phys.org
: supermassive black holes inside dying galaxies detected in early universe
sciencealert.com : dying
early universe galaxies could be killed by their supermassive black holes
No comments:
Post a Comment