นักวิทยาศาสตร์ได้พบรายละเอียดที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในทางช้างเผือก เป็นแถบเมฆก๊าซที่กำลังก่อตัวดาวและดาวอายุน้อยที่แปะติดกับแขนกังหันส่วนหนึ่งของทางช้างเผือก เหมือนกับเสี้ยนชิ้นหนึ่งที่หลุดออกจากแผ่นไม้ ด้วยความยาวประมาณ 3 พันปีแสง นี่เป็นโครงสร้างหลักอันแรกที่จำแนกพบว่ามีการเรียงตัวที่แตกต่างอย่างมากกับแขนกังหัน รายละเอียดที่เพิ่งค้นพบใหม่ได้ให้แง่มุมสู่โครงสร้างกาแลคซีของเราซึ่งยากที่จะศึกษาได้จากตำแหน่งของโลกที่อยู่ภายใน
นักดาราศาสตร์มีแนวคิดคร่าวๆ
เกี่ยวกับขนาดและรูปร่างของแขนกังหันของทางช้างเผือก แต่ก็ยังมีที่ไม่ทราบอีกมาก
เราไม่สามารถมองเห็นกาแลคซีบ้านเกิดของเราได้อย่างเต็มที่เนื่องจากตำแหน่งของโลกที่อยู่ภายใน
มันก็เหมือนกับการยืนอยู่ที่กลางไทม์สแควร์ แล้วพยายามวาดแผนที่เกาะแมนฮัตตัน
คุณจะสามารถตรวจสอบได้อย่างแม่นยำเพียงพอที่จะทราบว่าตึกสองแห่งอยู่ในบล๊อกเดียวกัน
หรืออยู่ห่างจากกันไม่กี่ช่วงถนน และคุณคิดหรือว่าจะได้เห็นตลอดจนถึงปลายเกาะในเมื่อมีหลายๆ
สิ่งที่บดบังแนวสายตาอยู่
เพื่อเรียนรู้เพิ่มขึ้น
ผู้เขียนในการศึกษาใหม่มุ่งเป้าไปที่แขนกังหันแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งเรียกว่า
แขนคนยิงธนู(Sagittarius Arm) ด้วยการใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์ของนาซาก่อนที่มันจะเกษียณตัวเองเมื่อเดือนมกราคม
2020 พวกเขาเสาะหาดาวที่เพิ่งก่อตัวขึ้นใหม่
ฝังตัวอยู่ในเมฆก๊าซและฝุ่น(ซึ่งเรียกว่า เนบิวลา) ที่พวกมันถือกำเนิดขึ้นมา
สปิตเซอร์ตรวจจับแสงอินฟราเรดที่สามารถทะลุผ่านเมฆเหล่านั้น
ในขณะที่แสงช่วงตาเห็นที่สายตามนุษย์มองเห็นจะถูกปิดกั้นไว้
คิดกันว่าดาวอายุน้อยและเนบิวลานั้นเรียงตัวอย่างแนบชิดตามรูปร่างของแขนกังหันที่พวกมันสังกัดอยู่
เพื่อให้ได้ภาพสามมิติของแขนส่วนนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้การเผยแพร่ข้อมูลล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายนจากดาวเทียมไกอา(Gaia)
ขององค์กรอวกาศยุโรป(ESA) เพื่อตรวจสอบระยะทางถึงดาวอย่างแม่นยำ
ข้อมูลรวมที่ได้เผยให้เห็นโครงสร้างยาวและบางที่เกี่ยวข้องกับแขนคนยิงธนู
ซึ่งประกอบด้วยดาวอายุน้อยที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วใกล้เคียงกัน
และอยู่ในทิศทางเดียวกันผ่านอวกาศ
คุณสมบัติหลักของแขนกังหันก็คือพวกมันหมุนเวียนไปรอบๆ
กาแลคซีแห่งหนึ่งแนบชิดแค่ไหน Michael Kuhn นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ที่คาลเทค
และผู้เขียนนำรายงานใหม่ กล่าว คุณลักษณะนี้ตรวจสอบได้จากมุมพิทช์(pitch
angle) ของแขน
วงกลมวงหนึ่งจะมีมุมพิทช์ที่ 0 องศา
และเมื่อกังหันเปิดมากขึ้น มุมพิทช์ก็จะเพิ่มขึ้น แบบจำลองทางช้างเผือกเกือบทั้งหมดบอกว่าแขนคนยิงธนูสร้างกังหันที่มีมุมพิทช์ประมาณ
12 องศา
แต่โตรงสร้างที่เราตรวจสอบนี้แตกออกมาที่มุมเกือบ 60 องศา
โครงสร้างคล้ายๆ
กันนี้ซึ่งบางครั้งเรียกว่า ติ่ง(spur) หรือขน(feathers)
พบว่าปูดออกจากกาแลคซีกังหันอื่นๆ
ได้ทั่วไป นักวิทยาศาสตร์สงสัยมาหลายทศวรรษแล้วว่าแขนกังหันของทางช้างเผือกเองก็จะมีรายละเอียดติ่งเหล่านี้หรือไม่
หรือว่าแขนกังหันค่อนข้างราบเรียบ
รายละเอียดที่เพิ่งพบใหม่ประกอบด้วยเนบิวลา
4 แห่งที่เป็นที่รู้จักกันว่าสวยงามจนแทบหยุดหายใจ
คือ เนบิวลานกอินทรี(Eagle Nebula ซึ่งมี
Pillars of Creation), เนบิวลาโอเมกา(Omega
Nebula), เนบิวลาสามแฉก(Trifid
Nebula) และเนบิวลาลากูน(Lagoon
Nebula) ในทศวรรษ 1950
นักดาราศาสตร์ทีมหนึ่งได้ทำการตรวจสอบระยะทางสู่ดาวบางส่วนในเนบิวลาเหล่านี้อย่างคร่าวๆ
และสามารถบอกถึงการมีอยู่ของแขนคนยิงธนูได้ งานดังกล่าวได้ให้หลักฐานแรกๆ
บางส่วนของโครงสร้างกังหันในกาแลคซีของเรา
Alberto Krone-Martins ผู้เขียนร่วม
นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์และอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยคาลิฟอร์เนีย(UC) เออร์ และสมาชิกทีมไกอา DPAC(Gaia Data
Processing and Analysis Consortium) กล่าวว่า
ระยะทางเป็นสิ่งที่ตรวจสอบได้ยากที่สุดอย่างหนึ่งในทางดาราศาสตร์
ก็เพิ่งเมื่อเร็วๆ นี้เองที่การตรวจสอบระยะทางโดยตรงจากไกอา
ได้ทำให้เรขาคณิตของโครงสร้างใหม่นี้เพิ่งปรากฏขึ้น
ในการศึกษาใหม่
นักวิจัยยังพึ่งพาบัญชีรายชื่อดาวฤกษ์ที่เพิ่งเกิดใหม่มากกว่า 1 แสนดวงที่พบโดยสปิตเซอร์
ในงานสำรวจกาแลคซีที่เรียกว่า GLIMPSE(Galactic Legacy Infrared Mid-Plane
Survey Extraordinaire) เมื่อเรารวมข้อมูลไกอาและสปิตเซอร์เข้าด้วยกัน
และสุดท้ายก็ได้เห็นแผนที่รายละเอียดในแบบสามมิตินี้
เราก็เห็นว่าพื้นที่แห่งนี้ค่อนข้างซับซ้อนอยู่ไม่น้อยจนไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน Kuhn
กล่าว
นักดาราศาสตร์ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้นักว่าอะไรทำให้แขนกังหันก่อตัวขึ้นในกาแลคซีอย่างทางช้างเผือกของเราได้
แม้ว่าเราจะมองไม่เห็นโครงสร้างเต็มๆ ของทางช้างเผือก
แต่ความสามารถในการตรวจสอบการเคลื่อนที่ของดาวแต่ละดวงก็เป็นประโยชน์ในการเข้าใจปรากฏการณ์ประหลาดนี้
ดาวในโครงสร้างที่เพิ่งพบใหม่นี้น่าจะก่อตัวขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน
ในพื้นที่โดยรวมกว้างๆ แหล่งเดียวกัน และได้รับอิทธิพลอย่างเป็นอัตลักษณ์จากการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ
ที่เกิดขึ้นภายในกาแลคซีซึ่งรวมถึงแรงโน้มถ่วงและแรงเฉือนอันเนื่องจากการหมุนรอบตัวของกาแลคซี
และสุดท้าย
ก็ยังมีข้อย้ำคิดว่ายังมีความไม่แน่นอนอีกมากมายเกี่ยวกับโครงสร้างทางช้างเผือกในระดับใหญ่
และเรายังต้องพิจารณารายละเอียดถ้าเราต้องการจะเข้าใจภาพที่ใหญ่ขึ้นนี้ Robert
Benjamin ผู้เขียนร่วมรายงานอีกคน
นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-ไวท์วอเตอร์ และผู้นำโครงการสำรวจ GLIMPSE
กล่าว
โครงสร้างนี้เป็นเพียงชิ้นส่วนเล็กๆ ของทางช้างเผือก
แต่มันก็สามารถบอกเราถึงบางสิ่งที่สำคัญของกาแลคซี โดยรวมได้ การศึกษานี้เผยแพร่ใน
Astronomy & Astrophysics
space.com : the Milky Way has a “broken” arm that could reveal its galactic history
No comments:
Post a Comment