เป็นเรื่องท้าทายที่จะทำนาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำนายในทางดาราศาสตร์ อย่างไรก็ตาม
มีการพยากรณ์ไม่กี่อย่างที่นักดาราศาสตร์จะทำได้ เช่น
ช่วงเวลาที่จะเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคา
และการกลับมาของดาวหางบางดวงที่ตรงตามเวลา
ในตอนนี้ เมื่อมองออกไปไกลกว่าระบบสุริยะ
นักดาราศาสตร์ได้เพิ่มการทำนายเหตุการณ์หนึ่งอย่างหนักแน่น
ซึ่งจะเกิดขึ้นลึกในห้วงอวกาศ เป็นภาพของดาวที่กำลังระเบิดดวงหนึ่งที่เรียกว่า
ซุปเปอร์โนวาเรคเควียม(Supernova Requiem) ว่าจะเกิดขึ้นราวปี
2037 แม้ว่าการปรากฏซ้ำนี้ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า
แต่กล้องโทรทรรศน์ในอนาคตบางตัวก็น่าจะพบมันได้
กลับเป็นว่าภาพในอนาคตนี้จะเป็นภาพของซุปเปอร์โนวาเดียวกันที่เห็นเป็นครั้งที่สี่
ซึ่งถูกขยายแสงจนสว่างขึ้นและแยกเป็นแต่ละภาพโดยกระจุกกาแลคซีแห่งหนึ่งที่พื้นหน้า
ซึ่งทำหน้าที่เป็นเลนส์ซูมในอวกาศ ภาพซุปเปอร์โนวาสามภาพแรกถูกพบเป็นครั้งแรกจากข้อมูลในคลังที่ถ่ายในปี
2016 โดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลของนาซา
พหุภาพ(multiple images) ถูกสร้างโดยแรงโน้มถ่วงที่ทรงพลังของกระจุกกาแลคซีขนาดมหึมาแห่งนี้
ซึ่งรบกวนและขยายแสงจากซุปเปอร์โนวาที่อยู่เบื้องหลังกระจุก เป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า
เลนส์ความโน้มถ่วง(gravitational lensing) ซึ่งอัลเบิร์ต
ไอน์สไตน์ เป็นคนแรกที่ได้ทำนายไว้
ปรากฏการณ์นี้ก็คล้ายกับเลนส์แว่นที่บิดแสงเพื่อขยายภาพจากวัตถุไกลโพ้นแห่งหนึ่ง
ภาพซุปเปอร์โนวาจากเลนส์ 3 ภาพที่เห็นเป็นจุดขนาดจิ๋วในภาพฮับเบิลภาพเดียวนี้
เป็นแสงจากการระเบิด จุดเหล่านี้มีความสว่างและสีที่แปรเปลี่ยนไป ซึ่งเน้นย้ำถึงการระเบิดในสถานะที่แตกต่างกัน
ซึ่งกำลังสลัวลงเมื่อมันเย็นตัวลงตามเวลา Steve Rodney นักวิจัยนำจากมหาวิทยาลัยเซาธ์คาโรไลนา
ในโคลัมเบีย อธิบายว่า การค้นพบใหม่นี้เป็นเพียงตัวอย่างภาพซุปเปอร์โนวาที่ฉายซ้ำเหตุการณ์ที่สามเท่านั้น
ซึ่งเราสามารถตรวจสอบความล่าช้าการปรากฏของภาพได้จริง
และมันยังอยู่ไกลที่สุดในบรรดาสามเหตุการณ์ และการล่าช้าที่ทำนายไว้ก็น่าจะนานมาก
เราจะสามารถย้อนกลับมาและเห็นภาพสุดท้ายนี้ได้ซึ่งเราทำนายว่าจะเกิดในปี 2037
บวกหรือลบไม่กี่ปี
แสงที่ฮับเบิลได้จับไว้จากกระจุก MACS
J0138.0-2155 ใช้เวลาประมาณ 4
พันล้านปีเพื่อมาถึงโลก
แสงจากซุปเปอร์โนวาเรคเควียมใช้เวลาราว 1 หมื่นล้านปีเพื่อเดินทางมายืนตามระยะทางถึงกาแลคซีต้นสังกัดการระเบิด
การทำนายเวลาปรากฏของซุปเปอร์โนวาของทีมมีพื้นฐานจากแบบจำลองคอมพิวเตอร์ของกระจุกแห่งนี้
ซึ่งอธิบายถึงเส้นทางต่างๆ
ที่แสงจากซุปเปอร์โนวาใช้เดินทางผ่านเขาวงกตแห่งสสารมืดที่กระจุกเป็นก้อนในกลุ่มของกาแลคซีแห่งนี้
สสารมืดเป็นสสารที่มองไม่เห็นที่เป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่ของสสารในเอกภพ และเป็นโครงสร้างให้กาแลคซีและกระจุกกาแลคซีได้ก่อตัวขึ้น
ภาพที่ถูกขยายแต่ละภาพจะใช้เส้นทางผ่านกระจุกแห่งนี้ที่แตกต่างกัน
และมาถึงโลกในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน
ส่วนหนึ่งก็เนื่องจากความแตกต่างของระยะทางที่แสงจากซุปเปอร์โนวาเดินทาง Rodney
กล่าวว่า เมื่อใดก็ตาม
ที่แสงบางส่วนผ่านเข้าใกล้วัตถุที่มีมวลสูงมากๆ อย่างกาแลคซีหรือกระจุก
การบิดโค้งของห้วงกาลอวกาศตามที่ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ได้ทำนายไว้ก็เกิดขึ้นจากมวลใดๆ
นี้ ทำให้การเดินทางของแสงรอบมวลนั้นๆ ล่าช้าไป
เขาเปรียบเทียบเส้นทางเดินทางต่างๆ ของแสงซุปเปอร์โนวา
กับขบวนรถไฟที่ออกจากสถานีต้นทางในเวลาเดียวกัน
ทั้งหมดเดินทางด้วยความเร็วเท่ากันและมีจุดหมายปลายทางที่เดียวกัน อย่างไรก็ตาม
รถไฟแต่ละขบวนใช้เส้นทางที่แตกต่างกัน
และแต่ละเส้นทางก็มีระยะทางที่แตกต่างกันด้วย เนื่องจากรถไฟเดินทางบนเส้นทางที่มีความยาวต่างกันผ่านภูมิประเทศที่แตกต่างกัน
พวกมันจึงไม่ได้มาถึงปลายทางในเวลาพร้อมกัน
นอกจากนี้
ภาพซุปเปอร์โนวาที่ผ่านเลนส์ซึ่งทำนายว่าจะมาในปี 2037 ล้าหลังภาพซุปเปอร์โนวาอื่นๆ
เนื่องจากแสงของมันเดินทางผ่านทะลุใจกลางกระจุกโดยรวม ซึ่งมีสสารมืดหนาแน่นที่สุดอยู่ภายในนั้น
มวลที่สูงมากของกระจุกบิดเบนแสงจนทำให้เกิดการล่าช้านาน Rodney อธิบายว่า
นี่เป็นภาพสุดท้ายที่จะมาถึงเนื่องจากมันก็เหมือนกับรถไฟที่ต้องขับลงไปในหุบเขาและค่อยไต่ขึ้นมา
นี่เป็นการเดินทางที่ช้าที่สุดของแสง
ภาพซุปเปอร์โนวาที่มาจากเลนส์ถูกพบในปี 2019 โดย Gabe
Brammer ผู้เขียนร่วมการศึกษาจากศูนย์ดอว์น(Cosmic
Dawn Center) ที่สถาบันนีล
บอห์ร มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ในเดนมาร์ก Brammer สังเกตเห็นภาพซุปเปอร์โนวาที่เหมือนกัน
ในขณะที่วิเคราะห์กาแลคซีไกลโพ้นที่ถูกขยายแสงโดยกระจุกกาแลคซีที่พื้นหน้า อันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสำรวจของฮับเบิลที่เรียกว่า
REQUIEM(Resolved Quiescent Magnified Galaxies) เขากำลังเปรียบเทียบข้อมูลใหม่ของ REQUIEM
จากปี 2019 กับภาพในคลังที่ถ่ายในปี 2016 จากโครงการสำรวจอีกงานของฮับเบิล
วัตถุสีแดงขนาดจิ๋วในข้อมูล 2016 ได้ดึงดูดความสนใจ
ซึ่งเดิมเขาคิดว่าเป็นกาแลคซีที่อยู่ห่างออกไปมาก แต่มันกลับหายไปในภาพปี 2019
แต่ตอนนั้น เมื่อผมตรวจสอบข้อมูลปี 2016
มากขึ้น ก็สังเกตว่าจริงๆ
แล้วมีวัตถุที่ถูกขยายแสง 3 แห่ง
แดงสองและม่วงหนึ่ง เขาอธิบาย วัตถุทั้งสามแต่ละแห่งอยู่คู่กับภาพของกาแลคซีมวลสูงไกลโพ้นแห่งหนึ่งที่ผ่านเลนส์
ในทันทีนั้นก็ไม่ใช่เป็นตัวกาแลคซีเอง แต่แท้จริงแล้วเป็นเหตุการณ์ชั่วคราว(transient)
ในระบบแห่งนี้
ซึ่งได้จางหายไปในภาพปี 2019 เหมือนกับหลอดไฟที่ดับลง
Brammer รวมตัวกับ Rodney เพื่อทำการวิเคราะห์ระบบแห่งนี้ให้มากขึ้น
ภาพซุปเปอร์โนวาที่ผ่านเลนส์เรียงตัวเป็นวงโค้งรอบๆ แกนกลางกระจุก
พวกมันปรากฏเป็นจุดขนาดเล็กใกล้กับรายละเอียดที่พร่าเลือนสีส้ม
ซึ่งคิดกันว่าเป็นภาพกาแลคซีต้นสังกัดของซุปเปอร์โนวาที่ถูกขยายแสงขึ้นมา Johan
Richard ผู้เขียนร่วมจากมหาวิทยาลัยลียง
ฝรั่งเศส ได้สร้างแผนที่ปริมาณสสารมืดในกระจุกแห่งนี้
โดยมีพื้นฐานจากการเกิดเลนส์ที่กระจุกสร้างขึ้น
แผนที่แสดงตำแหน่งวัตถุผ่านเลนส์ที่ทำนายไว้
มีการทำนายว่าซุปเปอร์โนวานี้จะปรากฏอีกครั้งในปี 2042 แต่มันจะสลัวอย่างมากจนทีมวิจัยคิดว่าไม่น่าจะมองเห็น
จากการฉายภาพซุปเปอร์โนวาซ้ำๆ
นี้จะช่วยให้นักดาราศาสตร์ได้ตรวจสอบการล่าช้าระหว่างภาพซุปเปอร์โนวาทั้งสี่
ซึ่งจะให้เงื่อนงำสู่ชนิดของพื้นที่กาลอวกาศที่แสงของซุปเปอร์โนวาได้เดินทางผ่าน
เมื่อมีการตรวจสอบเหล่านี้
นักวิจัยก็สามารถปรับรายละเอียดแบบจำลองแผนที่มวลของกระจุกได้
การพัฒนาแผนที่สสารมืดของกระจุกกาแลคซีขนาดใหญ่ที่แม่นยำจะเป็นอีกทางหนึ่งสำหรับนักดาราศาสตร์ที่จะตรวจสอบอัตราการขยายตัวของเอกภพ
และสำรวจธรรมชาติของพลังงานมืดซึ่งเป็นพลังงานรูปแบบปริศนาที่ทำงานต้านกับแรงโน้มถ่วง
และเป็นสาเหตุให้เอกภพขยายตัวด้วยอัตราที่สูงขึ้น
วิธีการเวลาที่ล่าช้านั้นมีประโยชน์
เนื่องจากเป็นวิธีที่ตรงไปตรงมากว่าในการตรวจสอบอัตราการขยายตัวของเอกภพ Rodney
อธิบาย
การล่าช้าที่ยาวนานเหล่านี้มีประโยชน์เป็นพิเศษเนื่องจากคุณจะทำการตรวจสอบการล่าช้าได้ดีและแม่นยำ
ถ้าคุณแค่อดทนรอเวลาหลายปีหน่อย ในกรณีนี้ก็ทศวรรษกว่าๆ ที่ภาพสุดท้ายจะโผล่มา
มันเป็นเส้นทางที่เป็นอิสระอย่างแท้จริงในการคำนวณอัตราการขยายตัวของเอกภพ
ประโยชน์ที่แท้จริงในอนาคตจะเป็นการใช้ตัวอย่างเหตุการณ์ลักษณะนี้กลุ่มใหญ่มากขึ้นเพื่อปรับปรุงความแม่นยำ
การพบภาพซุปเปอร์โนวาที่เกิดจากเลนส์ความโน้มถ่วงจะเพิ่มขึ้นจนเป็นปกติในอีก
20 ปีข้างหน้าเมื่อมีการส่งกล้องโทรทรรศน์อวกาศโรมัน(Nancy
Grace Roman Space Telescope) และการเริ่มต้นดำเนินงานของกล้องรูบิน(Vera
C. Rubin Observatory) กล้องทั้งสองจะสำรวจท้องฟ้าขนาดใหญ่
ซึ่งจะช่วยให้พวกมันได้พบพหุภาพจากซุปเปอร์โนวาได้อีกหลายสิบเหตุการณ์
ผลสรุปของทีมเผยแพร่ในวารสาร Nature Astronomy วันที่ 13 กันยายน
แหล่งข่าว hubblesite.org
: rerun of supernova blast is expected to appear in 2037
No comments:
Post a Comment