นักดาราศาสตร์ได้ใช้การตายของดาวฤกษ์ดวงหนึ่งเพื่อเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับหลุมดำมวลปานกลางแห่งหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่
หลุมดำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอวกาศไม่ได้โผล่ขึ้นมาก็เติบโตเต็มวัย
พวกมันจะต้องเริ่มต้นจากขนาดเล็กกว่านี้เป็นเมล็ดพันธุ์ จากนั้นจากการชนและกลืนก๊าซอย่างตะกละตะกลามจึงเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
คำถามที่นักดาราศาสตร์เผชิญอยู่ก็คือ แล้วเมล็ดพันธุ์นั้นคืออะไร
พวกมันก่อตัวได้อย่างไร ตอนเกิดเมล็ดพันธุ์มีขนาดใหญ่แค่ไหน
และพวกมันเจริญเติบโตได้อย่างไร
เพื่อตอบคำถามเหล่านี้
นักดาราศาสตร์ต้องหาวัตถุที่คล้ายเมล็ดพันธุ์ ซึ่งเรียกว่า หลุมดำมวลปานกลาง(intermediate-mass
black holes; IMBHs) วัตถุเหล่านี้น่าจะมีมวลตรงกลางระหว่างหลุมดำมวลดวงดาว(stellar-mass
black holes) อย่าง หงส์ X-1(Cygnus
X-1) และพวกยักษ์ใหญ่ที่อยู่ในใจกลางกาแลคซีขนาดใหญ่
อย่าง คนยิงธนู เอ สตาร์(Sagittarius A*) ของทางช้างเผือกเอง
ผู้สังเกตการณ์ได้พบว่าที่วัตถุเหล่านั้นหลายสิบแห่ง
โดยมีมวลเทียบเท่าตั้งแต่หลายสิบจนถึงหลายแสนเท่ามวลดวงอาทิตย์
แต่เราแทบจะไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับพวกมันเลย
Sixiang Wen นักวิจัยหลังปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยอริโซนา
และเพื่อนร่วมงาน ได้ตรวจสอบหนึ่งในว่าที่วัตถุเหล่านั้นใกล้ชิดมากขึ้น
และสกัดข้อมูลที่ไม่เคยได้เกี่ยวกับ IMBHs มาก่อนเลย
หลุมดำขนาดกลางแห่งนี้ดูเหมือนจะอยู่ในกระจุกดาวแห่งหนึ่งใกล้กาแลคซีแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปราว
750 ล้านปีแสงในกลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ(Aquarius)
โดยปกติแล้ว จะมองไม่เห็นหลุมดำ
แต่นักดาราศาสตร์ก็พบมันได้เมื่อหลุมดำฉีกและกลืนดาวฤกษ์ดวงหนึ่งลงไป เปิดโปงตัวเองขึ้นในเศษซากดาวที่เรืองสว่างในเหตุการณ์ที่เรียกว่า
3XMM J215022.4-055108(เรียกสั้นๆ
ว่า J2150)
เมื่อเกิดการลุกจ้าสว่างก่อนที่เศษซากดาวที่ถูกทำลายจะค่อยๆ
หายลับไปในขอบฟ้าสังเกตการณ์(event horizon) ของหลุมดำ เมื่อเศษซากดาวที่ถูกทำลายกลายเป็นกระแสก๊าซร้อนหมุนวนไปรอบๆ
มันจะร้อนขึ้นเกิดการลุกจ้าสว่างจนเปล่งรังสีเอกซ์ ก่อนที่กระแสก๊าซจะค่อยๆ
หายลับไปในขอบฟ้าสังเกตการณ์(event horizon) ของหลุมดำ ทีมใช้การสำรวจที่กินเวลา 12 ปีจากดาวเทียม XMM-Newton และกล้องจันทราเพื่อเฝ้าดูหายนะนี้
ความสว่างในช่วงรังสีเอกซ์ที่มีพลังงานต่างกันและวิธีที่สเปคตรัมเปลี่ยนแปลงตามเวลา
จะขึ้นอยู่กับมวลและการหมุนรอบตัวของหลุมดำ เนื่องจากพวกมันกำกับกาลอวกาศที่ก๊าซกำลังเดินทางผ่านนี้
การเปล่งรังสีเอกซ์จากดิสก์ส่วนในที่ก่อตัวขึ้นจากเศษซากของดาวที่ตายทำให้เราสามารถบอกมวลและการหมุนรอบตัวของหลุมดำแห่งนี้ได้
Wen กล่าว ด้วยการใช้ความพยายามซึ่งเดิมออกแบบมาใช้กับหลุมดำมวลดวงดาว
ทีมก็สามารถคำนวณมวลและการหมุนรอบตัวโดยประมาณของหลุมดำมวลปานกลางนี้ คือ น้อยกว่า
22000 เท่าดวงอาทิตย์(อยู่ที่ราว
1 หมื่นเท่าดวงอาทิตย์)
และหมุน 80% ของความเร็วสูงสุด
การศึกษาเผยแพร่ใน Astrophysical Journal วันที่
10 กันยายน
ความจริงว่าเราสามารถพบหลุมดำนี้ได้ในขณะที่มันกำลังกลืนกินดาวดวงหนึ่งได้ให้โอกาสอันล้ำค่าในการสำรวจสิ่งที่ควรจะมองไม่เห็นนี้
Ann Zabludoff นักดาราศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยอริโซนา
กล่าว ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยการวิเคราะห์การลุกจ้าที่เกิด
เราก็สามารถเข้าใจหลุมดำชนิดที่ไม่เป็นที่รู้จักกัน
นักดาราศาสตร์ได้ใช้หายนะการกลืนดาวซึ่งเรียกเหตุการณ์นี้ว่า
tidal disruption event(TDEs) เพื่อตรวจสอบการหมุนรอบตัวของหลุมดำยักษ์มาก่อนแล้ว
แต่ไม่เคยทำกับหลุมดำมวลปานกลางเลย การเพิ่มศักยภาพในการระบุการหมุนรอบตัว
นอกเหนือจากมวลของหลุมดำเอง กลับเป็นเรื่องที่สร้างความตื่นเต้นอย่างแท้จริง Suvi
Gezari ผู้เชี่ยวชาญ TDE
จากสถาบันวิทยาศาสตร์กล้องโทรทรรศน์อวกาศ
กล่าวถึงวิธีการใหม่นี้
แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดอย่างแท้จริงในผลสรุปนี้ก็คือ
ระดับการหมุนรอบตัว หลุมดำอาจมีระดับการหมุนตั้งแต่ 0 จนถึง 1 ซึ่ง 1
ก็คือความเร็วสูงสุดที่มวลหลุมดำยอม
ระดับการหมุนสามารถบอกเราว่าหลุมดำเจริญได้อย่างไร แต่ก็ไม่มีคำอธิบายถึงค่า 0.8
มันค่อนข้างสูงเกินกว่าจะเป็นหลุมดำที่เกิดขึ้นจากการควบรวมของหลุมดำขนาดเล็กกว่า
ซึ่งการตรวจสอบคลื่นความโน้มถ่วง มักจะแสดงการหมุนกระจุกที่ราว 0.7 มันยังมีค่าสูงมากเกินกว่าที่จะเจริญโดยการกลืนกินก๊าซรอบๆ
จากทุกทิศทางอย่างช้าๆ แต่ก็ยังต่ำเกินกว่าจะเจริญโดยการกลืนกินกระแสธารก๊าซคงที่เส้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว
เพราะหลุมดำแห่งนั้นควรจะหมุนรอบตัวใกล้เคียงอัตราสูงสุด
แล้วหลุมดำในเหตุการณ์ J2150 ก่อตัวและเจริญขึ้นมาได้อย่างไรจึงยังเป็นปริศนา
ตัว Wen เองชอบแนวคิดการชนของดาวแบบกู่ไม่กลับ
หรือกระทั่งการยุบตัวลงโดยรวมซึ่งเมฆก๊าซโบราณขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งเกาะกลุ่มและเริ่มยุบตัวลงเองสร้างหลุมดำขึ้นมา
หลุมดำนี้ยังมีมวลสอดคล้องกับลำดับเหตุการณ์การยุบตัวโดยตรง
ซึ่งยังมีอีกหลายคู่ที่น่าจะมีกำเนิดกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ในเอกภพยุคต้น
นอกจากนี้
การตรวจสอบการหมุนรอบตัวของหลุมดำยังช่วยนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ให้ทดสอบสมมุติฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของสสารมืด
ซึ่งคิดกันว่าเป็นองค์ประกอบสสารส่วนใหญ่ในเอกภพ นักวิจัยอธิบายว่า
ถ้าอนุภาคเหล่านี้มีอยู่จริงและมีมวลในระดับที่แน่ชัด
พวกมันจะป้องกันไม่ให้หลุมดำมวลปานกลางหมุนรอบตัวเร็ว แต่หลุมดำของ J2150 ก็ยังหมุนรอบตัวเร็วมาก ดังนั้น
การตรวจสอบการหมุนจึงช่วยกำจัดทฤษฎีโบซอนเบามาก(ultralight boson theory) ออกได้จำนวนมาก
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของหลุมดำในฐานะห้องทดลองฟิสิกส์อนุภาคนอกโลก
ที่หนึ่งที่เราอาจจะพบพวกมันก็คือในใจกลางกาแลคซีแคระ เราทราบว่าในใจกลางกาแลคซีเกือบทุกอย่างที่มีมวลใกล้เคียงกับทางช้างเผือก
หรือใหญ่กว่า ต่างก็มีหลุมดำมวลมหาศาล
และมวลของหลุมดำเหล่านั้นก็เป็นสัดส่วนโดยตรงกับมวลของดาวที่กระจุกอยู่ในใจกลางกาแลคซีที่เรียกว่า
ส่วนป่องกาแลคซี(bulge) ก็มีเหตุมีผลที่กาแลคซีขนาดเล็กกว่าก็น่าจะมีหลุมดำขนาดเล็กตามไปด้วย
แต่จริงๆ แล้วการสำรวจพวกมันก็ท้าทาย
แต่ถ้ากาแลคซีแคระเกือบทุกแห่งมีหลุมดำมวลปานกลางอยู่จริง
เราก็น่าจะสามารถตรวจจับพวกมันได้จากการลุกจ้า TDEs
แน่นอนว่าขั้นตอนต่อไปจะต้องรวบรวม TDEs
ที่มีความเกี่ยวข้องกับหลุมดำมวลปานกลางให้มากขึ้น
กล้องโทรทรรศน์อวกาศรังสีเอกซ์ e ROSITA จะเป็นตัวละครสำคัญซึ่งมันก็ได้พบ
TDEs หลายสิบเหตุการณ์แล้วตั้งแต่ถูกส่งออกในปี
2019 และนักดาราศาสตร์ก็คาดว่ามันจะพบ
TDEs เพิ่มอีกมาก
อย่างไรก็ตาม Wen บอกว่าเขาและเพื่อนร่วมงานยังไม่สามารถใช้วิธีการของพวกเขากับการค้นพบของ
e ROSITA ได้
เนื่องจากมีข้อมูลไม่เพียงพอ กล่าวคือ กล้องสแกนท้องฟ้าในรูปแบบการทำงานสแกนสำรวจ
และพวกเขาต้องการการสำรวจระยะยาวจากเป้าหมาย ซึ่งจะเกิดขึ้นในภายหลัง
แหล่งข่าว skyandtelescope.com
: shredded star reveals elusive middle-mass black hole
sciencealert.com : an
elusive “missing
link” mass black hole has been
caught devouring a star
phys.org : this is
what it looks like when a black hole snacks on a star
No comments:
Post a Comment