การเดินทางของพัลซาร์ความเร็วสูงแห่งหนึ่ง
นักดาราศาสตร์ที่ศึกษาหลุมดำได้พบสิ่งที่หายากอีกอย่าง
เมื่อดาวฤกษ์ที่ตายแล้วดวงหนึ่งถูกยิงออกจากซุปเปอร์โนวาที่ให้กำเนิดมัน
ทิ้งรอยทางคลื่นวิทยุคล้ายดาวหางไว้ตามหลัง
ดาวที่ตายแล้วซึ่งมีชื่อว่า PSR
J1914+1054g เป็นวัตถุในกลุ่มพัลซาร์วิทยุ(radio
pulsar) ที่ถูกยิงออกมาด้วยความเร็วสูงมากซึ่งเพิ่งพบเป็นดวงที่
4 เท่านั้น
ไม่เพียงแต่นักดาราศาสตร์สามารถสำรวจพัลซาร์ได้
แต่ยังสำรวจรอยทางที่อยู่ข้างหลังมันที่เรียกว่า เนบิวลาคลื่นรูปโบว์(bow-shock
nebula) และซากซุปเปอร์โนวาที่ผลักมันออกมาได้ด้วย
ทีมนักวิทยาศาสตร์ซึ่งนำโดยนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์
Sara Elisa Motta จากหอสังเกตการณ์ดาราศาสตร์เบรร่า
ในอิตาลี และมหาวิทยาลัยออกฟอร์ด ในสหราชอาณาจักร ได้ตั้งชื่อเนบิวลานี้ว่า
มินิเมาส์(Mini Mouse)
การแตกดับของดาวมวลสูงดวงหนึ่งเป็นเรื่องราวที่ค่อนข้างรุนแรง
เมื่อพวกมันหมดเชื้อเพลิงลง ปฏิกิริยาหลอมนิวเคลียสที่ค้ำจุนแรงดันที่ผลักออกมา
ต้านทานการยุบตัวลงจากแรงโน้มถ่วง ก็ลดลงในทันที และสรรพสิ่งก็เข้าสู่ความวุ่นวาย
ดาวจะระเบิด พ่นทุกสิ่งทุกอย่างออกไปทั่ว
ในขณะที่แกนกลางของดาวยุบตัวลงภายใต้แรงโน้มถ่วงกลายเป็นวัตถุที่หนาแน่นสูงมากซึ่งเรียกว่า
ดาวนิวตรอน ซึ่งมีมวลถึง 2.16 เท่าดวงอาทิตย์
อัดอยู่ในทรงกลมที่มีความกว้างเพียง 20 กิโลเมตรเท่านั้น
ในหลายๆ กรณี
อาจพบซากดาวเหล่านี้ซ่อนอยู่ในเนบิวลาที่เกิดจากการระเบิด
แต่ถ้าซุปเปอร์โนวาที่เกิดขึ้นนั้นเอียงข้างหนึ่ง การกระจายพลังงานที่ไม่สม่ำเสมอจะผลักดาวนิวตรอนวิ่งออกสู่อวกาศด้วยความเร็วสูง
แต่ก็ต้องใช้สภาพแวดล้อมที่พิเศษเพื่อสร้างเนบิวลาที่เหมือนกับ มินิเมาส์นี้
เริ่มต้นด้วย ดาวนิวตรอนจะต้องเป็นพัลซาร์
ซึ่งเป็นดาวนิวตรอนที่กำลังหมุนรอบตัวด้วยความเร็วสูงมาก จนดูเหมือนมันเต้นเป็นจังหวะ(pulses)
เหมือนกับประภาคารในอวกาศ
เมื่อลำคลื่นจากขั้วดาวกวาดผ่านเป็นจังหวะ
สนามแม่เหล็กที่รุนแรงของพัลซาร์ยังเร่งอนุภาคมีประจุเข้าสู่ลมที่เกรี้ยวกราด
ซึ่งพัดไปรอบๆ พัลซาร์ บางครั้งก็มีปฏิสัมพันธ์กับตัวกลางในห้วงอวกาศรอบๆ
สร้างเนบิวลาลมพัลซาร์(pulsar wind nebula) ขึ้นมา
แต่ถ้าพัลซาร์นั้นได้รับแรงผลักจากซุปเปอร์โนวาที่ไม่สม่ำเสมอ
จะก่อตัวคลื่นกระแทกรูปโบว์ในทิศทางที่มุ่งหน้าไป
ผลักลมพัลซาร์ไปอยู่เบื้องหลังวัตถุเหมือนกับหางของดาวหาง ซึ่งนี่เองที่เรียกว่า
เนบิวลาคลื่นกระแทกรูปโบว์จากพัลซาร์
Motta และเพื่อนร่วมงานได้ใช้กล้องโทรทรรศน์วิทยุ MeerKAT
ในอาฟริกาใต้เพื่อศึกษาดาวฤกษ์คู่หนึ่งซึ่งเรียกว่า
GRS 1915+105 ซึ่งประกอบด้วยหลุมดำแห่งหนึ่ง
และดาวฤกษ์ปกติอีกดวงหนึ่ง พวกเขาก็สังเกตเห็นบางสิ่งที่ประหลาดในระบบดาวคู่นี้
เมื่อมีแสงที่เกลี่ยพาดยาวขวางพื้นที่การมอง
ซึ่งแลดูคล้ายคลึงกับเนบิวลารูปโบว์จากพัลซาร์แห่งหนึ่งที่พบในปี 1987 ซึ่งเรียกว่า เดอะเมาส์(the Mouse)
การสำรวจข้อมูลที่รวบรวมโดย GPPS(FAST
Galactic Plane Pulsar Snapshot) ได้เผยให้เห็นพัลซาร์ที่เพิ่งค้นพบใหม่แห่งหนึ่ง
ซึ่งมี่คาบการหมุนรอบตัว 138 รอบต่อวินาที
ซึ่งปรากฏอยู่ที่หน้ารอยขีดนี้ การสำรวจติดตามผลของทีมได้เผยว่า J1914 อยู่ที่ตำแหน่งหัวของเนบิวลาพอดี
ข้อมูลช่วงวิทยุจาก MeerKAT ยังเผยให้เห็นรูปวงกลมจางๆ
อยู่ไกลมากจากด้านหลังพัลซาร์ และหางของมัน
โดยมีเส้นทางที่ดูจะตามรอยย้อนหลังไปถึงจุดศูนย์กลางของวงกลม จากสิ่งนี้เอง
ที่นักวิจัยจำแนกว่าเป็นซากของซุปเปอร์โนวาที่ให้กำเนิดพัลซาร์ J1914
ทีมพบว่า หางของพัลซาร์มีความยาวราว 40
ปีแสง และรัศมีของซากซุปเปอร์โนวาที่
43 ปีแสง
ทีมยังตรวจสอบจากการย้อนรอยกลับสู่ใจกลางเนบิวลา รวมกับความเร็วของ J1914 ที่ 320 ถึง 360
กิโลเมตรต่อวินาที
ก็บอกได้ว่าพัลซาร์(และซุปเปอร์โนวา) ก่อตัวขึ้นมาแล้ว 82000 ปี ซึ่งมีความเร็วน้อยกว่าดาววิ่งหนี(runaway
star) ที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยพบมา
เร็วไม่พอที่จะวิ่งออกนอกทางช้างเผือก
จากพัลซาร์ที่เพิ่งพบใหม่ รวมกับอีก 3
แห่งที่จำแนกก่อนหน้านี้ซึ่งมีคุณลักษณะเดียวกัน
การค้นพบจะช่วยนักดาราศาสตร์ให้เข้าใจพัลซาร์และลมของพวกมัน,
การระเบิดซุปเปอร์โนวา, ตัวกลางในห้วงอวกาศ, อนุภาคความเร็วสูง
และคลื่นกระแทกที่สร้างลม ได้ดีขึ้น ยิ่งกว่านั้น มันยังแสดงถึงศักยภาพของ MeerKAT
ในการค้นหาวัตถุที่พบได้ยากเหล่านี้
ต้องขอบคุณการตรวจจับโครงสร้างที่คล้ายๆ
กันของเดอะเมาส์ กับมินิเมาส์ นักวิจัยเขียนไว้ในรายงาน MeerKAT จะช่วยให้ได้พบพัลซาร์วิทยุอายุน้อยอีกมาก
ซึ่งจะเพิ่มประชากรให้กับกลุ่มวัตถุที่มีจำนวนน้อยเหล่านี้
ซึ่งเคยทำนายว่าในทางช้างเผือกน่าจะมีจำนวนหลายพันดวง งานวิจัยเผยแพร่ใน Monthly
Notices of the Royal Astronomical Society
แหล่งข่าว sciencealert.com
: this star exploded so hard, it sent its core whizzing across the galaxy
No comments:
Post a Comment