ภาพจากศิลปินแสดงระบบที่มีดาวเคราะห์ 5 ดวง
ในขณะที่สำรวจระบบดาว HD 23472 ด้วยสเปคโตรกราฟ ESPRESSO ทีมที่นำโดยนักวิจัยจากสถาบันดาราศาสตร์ฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์อวกาศ(IA3)
Susana Barros ได้พบดาวเคราะห์ชนิดซุปเปอร์เอิร์ธ(super-Earths)
สามดวง และซุปเปอร์ดาวพุธ(super-Mercuries)
อีกสองดวง
ดาวเคราะห์นอกระบบชนิดหลังนี้พบได้ยากมาๆ เมื่อรวมกับของใหม่สองดวงนี้
ก็จะมีซุปเปอร์ดาวพุธที่พบแล้วรวมเพียง 8 ดวงเท่านั้น
จุดประสงค์ในการศึกษาซึ่งเผยแพร่ในวารสาร Astronomy
& Astrophysics ก็คือเพื่อแจกแจงองค์ประกอบของดาวเคราะห์ขนาดเล็ก
และเข้าใจว่าองค์ประกอบเปลี่ยนแปลงตามตำแหน่ง, อุณหภูมิดาวเคราะห์
และคุณสมบัติของดาวฤกษ์อย่างไร Barros บอกว่าทีมตั้งเป้าที่จะศึกษาการเปลี่ยนผ่านระหว่างการมีหรือไม่มีชั้นบรรยากาศ
ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับการระเหยชั้นบรรยากาศอันเนื่องจากการแผ่รังสีของดาวฤกษ์
ทีมพบว่าระบบรอบดาวฤกษ์แคระส้มซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 130 ปีแสงแห่งนี้ มีซุปเปอร์เอิร์ธ 3 ดวงที่มีชั้นบรรยากาศ และซุปเปอร์ดาวพุธอีก 2
ดวงซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดาวฤกษ์แม่มากที่สุด
ในบรรดาดาวเคราะห์ทั้งห้าของ HD
23472 มีสามดวงที่มีมวลต่ำกว่าโลก
พวกมันจึงเป็นดาวเคราะห์นอกระบบที่มีมวลเบาที่สุดเท่าที่เคยตรวจสอบโดยใช้วิธีการความเร็วแนวสายตา(radial
velocity method) ซึ่งเป็นไปได้ก็เพราะความแม่นยำสูงมากของ
ESPRESSO ที่ติดตั้งบนกล้องโทรทรรศน์ใหญ่มาก(VLT)
ในชิลี และการมีซุปเปอร์ดาวพุธไม่ใช่แค่หนึ่ง
แต่สองดวง ก็ทำให้ทีมอยากจะตรวจสอบเพิ่มเติม
ซึ่งน่าจะบอกได้คร่าวๆ
จากการคำนวณความหนาแน่นของดาวเคราะห์ โดยใช้ข้อมูลจากทั้งวิธีการความเร็วแนวสายตา
และการผ่านหน้า(transit method) ข้อมูลการผ่านหน้าจะบอกว่า
แสงของดาวฤกษ์แม่ถูกดาวเคราะห์กั้นไว้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะบอกขนาดทางกายภาพ
ในขณะที่ข้อมูลความเร็วแนวสายตาจะบอกถึงแรงโน้มถ่วงที่กระทำต่อดาวฤกษ์แม่
ซึ่งจะให้ค่ามวล แล้วนำค่าที่ได้มาคำนวณความหนาแน่น
ปฏิบัติการนักล่าดาวเคราะห์ TESS ซึ่งใช้วิธีการผ่านหน้าได้พบดาวเคราะห์สองดวงแรกรอบ
HD 23472 เมื่อไม่กี่ปีก่อน
และการสำรวจติดตามผลก็ยืนยันการมีอยู่ของทั้งสองดวง
และยังตรวจสอบว่าที่ดาวเคราะห์อีกสองดวงเพิ่มเติมด้วย
ในขณะที่การตรวจสอบความเร็วแนวสายตาโดย ESPRESSO ระหว่างเดือนกรกฎาคม 2019 และเมษายน 2021 ได้พบหลักฐานดาวเคราะห์ดวงที่ห้าที่โคจรใกล้ดาวฤกษ์ในระบบี้
จากนั้นในเดือนตุลาคม 2021 TESS ก็เก็บสัญญาณการผ่านหน้าจากดาวเคราะห์ดวงที่ห้านี้ได้
หมายเหตุ
ระบบดาวเคราะห์ของ HD 23472 จากใกล้ที่สุดไปไกลที่สุดดังนี้
·
HD 23472d มีคาบการโคจร
3.98 วัน, รัศมี 0.75
เท่าโลก และมวล 0.54 เท่าโลก
·
HD 23472e(พบล่าสุด)
มีคาบ 7.9 วัน รัศมี 0.82
เท่าโลก และมวล 0.76 เท่าโลก
·
HD 23472f คาบการโคจร
12.16 วัน รัศมี 1.13
เท่าโลก และมวล 0.64 เท่าโลก
·
HD 23472b คาบการโคจร
17.67 วัน รัศมี 2.01
เท่าโลก และมวล 8.42 เท่าโลก
· HD 23472c คาบการโคจร 29.8 วัน รัศมี 1.85 เท่าโลก และมวล 3.37 เท่าโลก
ความหนาแน่นของดาวเคราะห์หินเป็นผลจากสัดส่วนมวลเหล็กเทียบกับซิลิเกตจากดิสก์ก่อกำเนิดดาวเคราะห์ เส้นทึบสีดำแสดงความสัมพันธ์ของดาวเคราะห์นอกระบบที่พบ(จุดสีฟ้า) ไม่รวมดาวเคราะห์ที่อาจเป็นซุปเปอร์ดาวพุธ(จุดสีน้ำตาล) สัญลักษณ์สีดำแสดงดาวเคราะห์ในระบบสุริยะของเรา จากบนลงล่างคือ ดาวพุธ, ดาวอังคาร, โลกและดาวศุกร์
ดาวพุธในระบบสุริยะของเรา
มีแกนกลางที่ค่อนข้างใหญ่และมีชั้นเนื้อ(mantle) ที่เล็กกว่าดาวเคราะห์อื่นๆ
แต่นักดาราศาสตร์ก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร คำอธิบายที่เป็นไปได้มีทั้งเกิดขึ้นจากการชนครั้งใหญ่ที่กำจัดแมนเทิลดาวพุธส่วนหนึ่งออกไป
หรือแมนเทิลส่วนหนึ่งของดาวพุธอาจจะระเหยไปเนื่องจากอุณหภูมิที่สูงของดาวเคราะห์
ที่น่าประหลาดใจก็คือ
เพิ่งได้พบดาวเคราะห์นอกระบบที่มีคุณลักษณะคล้ายกันที่เรียกว่า ซุปเปอร์ดาวพุธ
เมื่อเร็วๆ นี้
Barros กล่าวว่า
เป็นครั้งแรกที่เราได้พบระบบที่มีซุปเปอร์ดาวพุธสองดวง
นี่ช่วยให้เราได้เงื่อนงำว่าดาวเคราะห์เหล่านี้ก่อตัวได้อย่างไร
ซึ่งจะช่วยเราให้ตัดความน่าจะเป็นบางส่วนทิ้งไปได้ ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าการชนมีขนาดใหญ่มากพอที่จะสร้างซุปเปอร์ดาวพุธ ก็เป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งแล้ว
การชนครั้งใหญ่ 2 ครั้งในระบบเดียวกันดูจะเป็นไปไม่ได้อย่างมาก
เรายังคงไม่ทราบว่าดาวเคราะห์เหล่านี้ก่อตัวได้อย่างไร
แต่มันก็ดูเหมือนจะเชื่อมโยงกับคุณสมบัติของดาวฤกษ์แม่เอง
ระบบแห่งใหม่นี้ช่วยเราตอบคำถาม
Olivier Demangeon สมาชิกทีมจาก IA & DFA-FCUP กล่าวว่า การเข้าใจว่าซุปเปอร์ดาวพุธทั้งสองนี้ก่อตัวอย่างไร
จะต้องจำแนกองค์ประกอบของดาวเคราะห์เหล่านี้ให้ได้ ซึ่งน่าจะบอกได้คร่าวๆ
จากการคำนวณความหนาแน่นของดาวเคราะห์ โดยใช้ข้อมูลจากทั้งวิธีการความเร็วแนวสายตา
และการผ่านหน้า(transit method) ข้อมูลการผ่านหน้าจะบอกว่า
แสงของดาวฤกษ์แม่ถูกดาวเคราะห์กั้นไว้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะบอกขนาดทางกายภาพ
ในขณะที่ข้อมูลความเร็วแนวสายตาจะบอกถึงแรงโน้มถ่วงที่กระทำต่อดาวฤกษ์แม่
ซึ่งจะให้ค่ามวล แล้วนำค่าที่ได้มาคำนวณความหนาแน่น
เนื่องจากดาวเคราะห์เหล่านี้มีรัศมีที่เล็กกว่าโลก
เครื่องมือในปัจจุบันไม่ได้มีความไวพอที่จะตรวจสอบองค์ประกอบพื้นผิวของพวกมัน
หรือการมีอยู่และองค์ประกอบของชั้นบรรยากาศที่อาจจะมี กล้องรุ่นต่อไปอย่าง ELT(Extremely
Large Telescope) และสเปคโตรกราฟความละเอียดสูงของกล้องนี้
ANDES7 จะให้ทั้งความไวและความแม่นยำเพื่อบรรลุถึงการสำรวจเหล่านั้น
แต่เป้าหมายสุดท้ายจริงๆ ก็คือ การค้นหาโลกอื่นๆ การมีชั้นบรรยากาศให้เรามีแง่มุมสู่การก่อตัวและวิวัฒนาการของระบบ
และยังมีนัยยะต่อความสามารถในการเอื้ออาศัยได้ของดาวเคราะห์
ฉันอยากจะขยับขยายการศึกษาประเภทนี้ออกไปสู่ดาวเคราะห์คาบยาวขึ้น
ซึ่งน่าจะมีอุณหภูมิที่เป็นมิตรมากกว่า Barros กล่าว
แหล่งข่าว phys.org
: two rare super-Mercuries discovered in the same star system
sciencealert.com : 2
incredibly rare exoplanets could give us insights about a planet close to home
No comments:
Post a Comment