การสำรวจหลุมดำแห่งแรกที่ตรวจจับได้ครั้งใหม่ได้นำให้นักดาราศาสตร์ตั้งคำถามว่าพวกเขารู้อะไรเกี่ยวกับวัตถุที่เป็นปริศนาที่สุดในเอกภพบ้าง รายงานที่เผยแพร่ในวารสาร Science ได้แสดงว่าระบบที่เรียกว่า Cygnus X-1 นั้นมีหลุมดำมวลดวงดาว(stellar-mass black hole) ที่มีมวลสูงที่สุดเท่าที่เคยพบมา โดยไม่ใช้คลื่นความโน้มถ่วง(gravitational waves)
Cygnus X-1 เป็นหนึ่งในหลุมดำที่อยู่ใกล้โลกมากที่สุดแห่งหนึ่ง
มันถูกพบเป็นแหล่งรังสีเอกซ์แห่งหนึ่งในปี 1964 โดยไกเกอร์เคาน์เตอร์คู่หนึ่งที่นำไปบนจรวดที่บินขึ้นสู่อวกาศแต่ไม่ถึงวงโคจร(sub-orbital
rocket) ที่ส่งจากนิวเมกซิโก
วัตถุนี้เป็นเป้าสนใจของการพนันในวงวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังระหว่างนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์
Stephen Hawking และ Kip
Thorne โดยในปี 1974
Hawking พนันไว้ว่ามันไม่ใช่หลุมดำ
และ Hawking ก็แพ้พนันในปี 1990
มันจึงกลายเป็นหนึ่งในหลุมดำที่ถูกศึกษามากที่สุดบนท้องฟ้า
และนักดาราศาสตร์คิดว่าค่อนข้างรู้จักมันอย่างดี โดยเป็นวัตถุที่อยู่ห่างออกไปราว 6070
ปีแสง โดยมีหลุมดำมวล 14.8 เท่ามวลดวงอาทิตย์
และมีดาวข้างเคียงเป็นซุปเปอร์ยักษ์สีฟ้า HDE 226888 ซึ่งมีมวลราว 24 เท่าดวงอาทิตย์
ในงานศึกษาล่าสุด
ทีมนักดาราศาสตร์นานาชาติได้ใช้เครือข่ายเส้นฐานยาวมาก(Very Long Baseline
Array) ซึ่งเป็นกล้องโทรทรรศน์วิทยุประกอบด้วยจานรับสัญญาณ
10 แห่งที่กระจายอยู่ทั่วสหรัฐฯ
เมื่อทำงานร่วมกันก็เป็นเสมือนจานรับสัญญาณที่มีขนาดพอๆ กับทวีปอเมริกา พร้อมกับเทคนิคอันชาญฉลาดเพื่อตรวจสอบระยะทางในอวกาศ
James Miller-Jones จากมหาวิทยาลัยเคอร์ติน
และศูนย์เพื่อการวิจัยดาราศาสตร์วิทยุนานาชาติ(ICRAR) นักวิจัยนำทีม กล่าวว่า
ถ้าเราสามารถมองวัตถุเดียวกันจากตำแหน่งที่แตกต่างกัน
เราก็สามารถคำนวณระยะทางของมันได้โดยตรวจสอบว่า
วัตถุนี้เคลื่อนที่ขยับไปไกลแค่ไหนเมื่อเทียบกับพื้นหลัง
เหมือนกับถ้าคุณชูนิ้วออกไปและมองมันด้วยตาทีละข้าง
คุณก็จะสังเกตเห็นว่านิ้วของมันจะขยับจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง
นั้นเป็นกฏเดียวกันเลย หมายเหตุ เรียกว่าการสำรวจพารัลแลกซ์(parallax)
การตรวจสอบพารัลแลกซ์ที่ใช้เวลาห่างกัน
6 เดือน
บอกเราว่า Cygnus X-1 อยู่ห่างออกไปกว่า
7000 ปีแสง
ตลอดหกวันที่เราสำรวจวงโคจรเต็มๆ
ของหลุมดำนี้และใช้การสำรวจที่ได้จากระบบแห่งเดียวกันด้วยเครือข่ายกล้องเดียวกันในปี
2011 วิธีการนี้และการตรวจสอบครั้งใหม่ได้แสดงว่าระบบนั้นอยู่ห่างจากเรามากกว่าที่เคยคิด
เกิน 7000 ปีแสงจากโลก Miller-Jones
กล่าว ข้อมูลนี้สอดคล้องกับการตรวจสอบจากดาวเทียมไกอา(Gaia) โดยหลุมดำก็มีมวลสูงขึ้นอีกพอสมควร
LIGO ได้ตรวจสอบคลื่นความโน้มถ่วงที่มาจากการควบรวมซึ่งมีหลุมดำในระดับถึง
50 เท่ามวลดวงอาทิตย์ด้วย
แต่พวกมันก็อาจเป็นผลผลิตจากดาวฤกษ์ที่มีองค์ประกอบเหล็ก(และโลหะอื่น) ที่ต่ำมากๆ
ซึ่งหมายความว่ามีลมดวงดาวที่พัดอ่อนกว่า และจึงมีมวลเหลืออยู่มากกว่า
ดาวที่เพิ่งก่อตัวภายในทางช้างเผือกมีองค์ประกอบโลหะในสัดส่วนที่สูงกว่า
ซึ่งคิดกันว่าหมายความว่า ลมดวงดาวของพวกมันก็จะรุนแรงมากและผลักมวลออกไปได้มาก
Ilya Mandel ผู้เขียนร่วมจากมหาวิทยาลัยโมนาช และ OzGrav(ARC
Centre of Excellence in Gravitational Wave Discovery) บอกว่าหลุมดำมีมวลสูงมาก จนจริงๆ
แล้วมันได้ท้าทายวิธีคิดของนักดาราศาสตร์ว่ามันก่อตัวอย่างไร
ก่อนหน้านี้
หลุมดำมวลดวงดาวที่ยึดครองสถิติมวลสูงสุดที่ตรวจพบในช่วงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก็คือ M33
X-7 ซึ่งมีมวลที่ 15.65 เท่าดวงอาทิตย์ ในช่วงเวลาที่พบนี้ แม้ว่า M33
X-7 ก็ยังท้าทายแบบจำลองการก่อตัวหลุมดำ
Cygnus X-1 ยังก่อตัวในสภาพแวดล้อมที่อุดมด้วยโลหะ
ซึ่งก็ท้าทายแนวคิดว่าหลุมดำมวลดวงดาวขนาดใหญ่จะก่อตัวเฉพาะในเอกภพยุคต้นจากดาวฤกษ์ที่ขาดแคลนโลหะ
แต่จากงานวิจัยนี้บอกว่าหลุมดำมวลดวงดาวยักษ์ก็น่าจะสามารถก่อตัวเร็วๆ
นี้ได้เช่นกัน LIGO ได้ตรวจสอบคลื่นความโน้มถ่วงที่มาจากการควบรวมซึ่งมีหลุมดำในระดับถึง
50 เท่ามวลดวงอาทิตย์ด้วย
แต่พวกมันก็อาจเป็นผลผลิตจากดาวฤกษ์ที่มีองค์ประกอบเหล็ก(และโลหะอื่น) ที่ต่ำมากๆ
ซึ่งหมายความว่ามีลมดวงดาว(stellar wind) ที่พัดอ่อนกว่า
และจึงมีมวลเหลืออยู่มากกว่า
ดาวที่เพิ่งก่อตัวภายในทางช้างเผือกมีองค์ประกอบโลหะในสัดส่วนที่สูงกว่า
ซึ่งคิดกันว่าหมายความว่า ลมดวงดาวของพวกมันก็จะรุนแรงมากและผลักมวลออกไปได้มาก
นักวิทยาศาสตร์เสนอว่า ดาวสูญเสียมวลออกสู่สภาพแวดล้อมรอบข้างผ่านลมดวงดาวซึ่งพัดพามวลออกจากพื้นผิว
แต่เพื่อที่จะสร้างหลุมดำที่หนักขนาดนี้
เราต้องลดปริมาณมวลที่ดาวสูญเสียออกไปลงตลอดช่วงชีวิตของพวกมัน เขากล่าว
หลุมดำในระบบ Cygnus X-1
เริ่มต้นชีวิตเป็นดาวฤกษ์ดวงหนึ่งซึ่งมีมวลราว 60 เท่าดวงอาทิตย์ และยุบตัวลงโดยตรงโดยข้ามขั้นตอนการระเบิดซุปเปอร์โนวาไปเมื่อหลายหมื่นปีก่อน
น่าอัศจรรย์ที่มันกำลังโคจรรอบดาวฤกษ์ข้างเคียงดวงหนึ่ง
ซึ่งเป็นซุปเปอร์ยักษ์ ทุกๆ 5.6 วัน
ด้วยระยะทางเพียงหนึ่งในห้าของระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์ การสำรวจใหม่เหล่านี้บอกเราว่าหลุมดำมีมวล
21 เท่าดวงอาทิตย์
เพิ่มขึ้นจากการประเมินไว้ก่อนหน้านี้ 50% ซึ่งดาวข้างเคียงเองเมื่อมีการประเมินมวลใหม่ก็เพิ่มมาอยู่ที่
40 เท่าดวงอาทิตย์
ซึ่งมันเองก็ใหญ่พอที่วันหนึ่งจะกลายเป็นหลุมดำได้ ก่อตัวระบบหลุมดำคู่ที่สร้างกับที่เห็นในการควบรวมที่สร้างคลื่นความโน้มถ่วง
อย่างไรก็ตาม
ระบบคู่นี้ไม่น่าจะควบรวมได้ในเร็วๆ นี้ ในรายงานอีกฉบับ Xueshan Zhao เป็นผู้เขียนร่วมรายงาน
และว่าที่ดอกเตอร์ที่ศึกษาที่หอสังเกตการณ์ดาราศาสตร์แห่งชาติ
อันเป็นส่วนหนึ่งของสำนักวิทยาศาสตร์จีน(NAOC) ในเป่ยจิง
ด้วยการใช้การตรวจสอบที่อัพเดทเพื่อหามวลและระยะทางของหลุมดำจากโลก
ฉันก็สามารถยืนยันได้ว่า Cygnus X-1
กำลังหมุนรอบตัวอย่างเร็วมาก ใกล้เคียงกับความเร็วแสง และเร็วกว่าหลุมดำใดๆ
ที่เคยพบมา เธอกล่าว
สิ่งนี้ค้านกับระบบคู่ที่สร้างคลื่นความโน้มถ่วง
ซึ่งมีการหมุนรอบตัวที่ช้ามากๆ หรือเอียง นี่บอกว่า Cygnus X-1 จะมีเส้นทางวิวัฒนาการที่แตกต่างจากระบบหลุมดำคู่ที่เราเห็นการควบรวม
จากระยะห่างระหว่าง Cygnus X-1 และ HDE
226888 นักวิจัยได้คำนวณว่าคู่ไม่น่าจะควบรวมกันในช่วงเวลาพอๆ
กับอายุของเอกภพ คือ 13.8 พันล้านปี
การศึกษาระบบแห่งนี้ในตอนนี้ ก่อนที่หลุมดำแห่งที่สองจะยุบตัวลง
จึงน่าจะเป็นโอกาสอันหาได้ยากในการเข้าใจระบบหลุมดำคู่
ฉันอยู่ในช่วงเริ่มต้นอาชีพวิจัย
ดังนั้นการเป็นส่วนหนึ่งของทีมนานาชาติและช่วยขัดเกลาคุณสมบัติของหลุมดำแห่งแรกที่ถูกพบ
ก็เป็นโอกาสที่เยี่ยมยอด Zhao กล่าว
ในปีหน้า กล้องโทรทรรศน์วิทยุขนาดใหญ่ที่สุดบนโลก คือ เครือข่ายตารางกิโลเมตร(Square
Kilometre Array; SKA) ก็จะเริ่มก่อสร้างในออสเตรเลียและอาฟริกาใต้
การศึกษาหลุมดำจะเป็นเหมือนส่องไฟให้กับความลับที่เก็บไว้อย่างดีที่สุดในเอกภพ
เป็นงานวิจัยที่น่าตื่นเต้นแต่ก็ท้าทาย Millier-Jones กล่าว
เมื่อกล้องโทรทรรศน์รุ่นถัดไปเริ่มทำงาน
ความไวที่สูงขึ้นจะเผยให้เห็นเอกภพในรายละเอียดที่เพิ่มขึ้น
ตอบแทนความพยายามนับหลายสิบปีของนักวิทยาศาสตร์และทีมวิจัยทั่วโลก
เพื่อให้เข้าใจห้วงอวกาศ และวัตถุสุดขั้วและน่าพิศวงที่มีอยู่ให้ดีขึ้น
เป็นช่วงเวลาที่ดีที่ได้เป็นนักดาราศาสตร์
sciencealert.com : we thought we understood the “first” black hole. But we were wrong, scientists say
skyandtelescope.com : first-detected black hole is more massive than we thought
No comments:
Post a Comment