จากการศึกษาใหม่บอกว่าวัตถุจากต่างระบบดาวเคราะห์ดวงแรกที่พบว่าผ่านเข้ามาในระบบสุริยะของเรา น่าจะเป็นชิ้นส่วนของดาวเคราะห์ที่คล้ายกับพลูโตจากระบบสุริยะแห่งอื่น
'Oumuamua โดยกล้องโทรทรรศน์วิลเลียมเฮอร์เชล เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2017 โอมูอามูอา(‘Oumuamua) ถูกพบในวันที่ 19 ตุลาคม 2017 โดยหอสังเกตการณ์ Pan-STARRS ในฮาวาย 1I/2017 U1 ‘Oumuamua เป็นภาษาฮาวายซึ่งแปลว่า ผู้นำสาร หรือ ผู้สืบข่าว
วิ่งเข้ามาในระบบด้วยความเร็ว 87.3 กิโลเมตรต่อวินาที(ประมาณ 315,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) วัตถุที่แบนอย่างน่าประหลาดนี้เคยถูกจำแนกเป็นดาวหาง
แต่มีรายละเอียดบางอย่างที่ประหลาดพอที่จะทำให้เราต้องจำแนกชนิดของมันใหม่
ขณะนี้ นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยอริโซนาสเตท
2 คนคือ Steven
Desch และ Alan
Jackson จาก School
of Earth and Space Exploration ได้ตั้งต้นอธิบายรายละเอียดประหลาดของโอมูอามูอา
และบอกว่า มันน่าจะเป็นชิ้นส่วนจากดาวเคราะห์ที่คล้ายพลูโตจากระบบสุริยะแห่งอื่น การศึกษาใหม่เผยแพร่เป็นรายงาน
2 ฉบับใน Journal
of Geophysical Research Planets วารสารของ
American Geophysical Union(AGU) นี้เพื่องานวิจัยการก่อตัวและวิวัฒนาการของดาวเคราะห์,
ดวงจันทร์และวัตถุในระบบของเราและระบบอื่นๆ
จากการสำรวจวัตถุนี้ Desch และ Jackson ได้ตรวจสอบคุณลักษณะหลายประการของวัตถุที่แตกต่างจากสิ่งที่คาดไว้สำหรับการเป็นดาวหาง
ในแง่ของความเร็ว
วัตถุเข้าสู่ระบบสุริยะด้วยความเร็วที่ช้ากว่าที่ควรจะเป็นพอสมควร
ซึ่งบ่งชี้ว่ามันไม่น่าจะเดินทางในห้วงอวกาศระหว่างดวงดาวมานานกว่า 1 พันล้านปี ในแง่ของขนาด
รูปร่างคล้ายแพนเค้กก็ยังแบนกว่าวัตถุในระบบสุริยะดวงอื่นๆ ที่เคยพบมา
พวกเขายังสำรวจพบว่าในขณะที่วัตถุได้รับแรงผลักน้อยๆ
จากดวงอาทิตย์(ปรากฏการณ์จรวด; rocket effect ซึ่งเกิดขึ้นทั่วไปกับดาวหางเมื่อแสงอาทิตย์ทำให้น้ำแข็งที่เป็นองค์ประกอบระเหยออกมา)
แต่แรงผลักที่เกิดก็ยังรุนแรงกว่าที่เป็นแค่จากปรากฏการณ์นี้ และสุดท้าย
วัตถุขาดแคลนรายละเอียดก๊าซที่หนีออกมาให้สำรวจได้ ซึ่งมักจะเห็นเป็นหางของดาวหาง
โดยรวมแล้ว แม้วัตถุนี้จะคล้ายกับดาวหางอย่างมาก แต่ก็ไม่เหมือนกับดาวหางใดๆ
ที่เคยสำรวจมาในระบบสุริยะ
จากนั้น Desch และ Jackson จึงตั้งสมมุติฐานว่าวัตถุนี้เป็นน้ำแข็งในชนิดที่แตกต่างออกไป
และพวกเขาคำนวณว่าน้ำแข็งเหล่านั้นจะระเหิด(sublimate; เปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นก๊าซโดยตรง) ได้เร็วแค่ไหนเมื่อโอมูอามูอาวิ่งผ่านดวงอาทิตย์
จากสมมุติฐานก็คำนวณปรากฏการณ์จรวด, มวลและรูปร่างของวัตถุ และความสามารถในการสะท้อนแสง(reflectivity)
ของน้ำแข็งต่างๆ
เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นสำหรับเรา Desch
กล่าว
เราตระหนักว่าชิ้นน้ำแข็งน่าจะสะท้อนแสงได้ดีกว่าที่ผู้คนสันนิษฐานไว้
ซึ่งหมายความว่ามันน่าจะมีขนาดเล็กกว่าที่เคยคิด(45*45*8 เมตร) และจากขนาดที่เล็กลงก็หมายถึงว่าแรงผลักใดๆ
จากน้ำแข็งที่ระเหิดก็น่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่าที่เห็นจากปรากฏการณ์จรวดในดาวหางอย่างมาก
ช่วยอธิบายความเร็วที่คาดไม่ถึงเมื่อมันวิ่งออกห่างจากดวงอาทิตย์
Desch และ Jackson พบน้ำแข็งชนิดหนึ่งก็คือ ไนโตรเจนแข็ง
ซึ่งให้ผลสอดคล้องพอดีกับรายละเอียดทั้งหมดที่พบจากโอมูอามูอา
และเนื่องจากไนโตรเจนน้ำแข็งนั้นพบได้บนพื้นผิวพลูโต
จึงเป็นไปได้ที่วัตถุที่คล้ายดาวหางสักดวงก็น่าจะมีองค์ประกอบเหมือนกันนี้ด้วย
เราทราบว่าเรามาถูกทางเมื่อเราทำการคำนวณเสร็จสิ้นว่า ค่าการสะท้อนแสง(albedo) จะมีส่วนทำให้การเคลื่อนที่ของโอมูอามูอาสอดคล้องกับการสำรวจ
Jackson กล่าว
ค่านี้เป็นค่าใกล้เคียงกับที่เราสำรวจพบบนพื้นผิวพลูโต หรือไทรตอน(Triton) เป็นวัตถุที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งไนโตรเจน
จากนั้น พวกเขาก็คำนวณอัตราที่ชิ้นน้ำแข็งไนโตรเจนน่าจะถูกผลักออกจากพื้นผิวพลูโตและวัตถุคล้ายๆ กันในช่วงต้นของความเป็นมาของระบบสุริยะของเราเอง และพวกเขาคำนวณความเป็นไปได้ที่ชิ้นส่วนน้ำแข็งไนโตรเจนจากระบบแห่งอื่นๆ น่าจะมาถึงเรา มันน่าจะเป็นการชนที่การกระแทกพื้นผิวออกมาเมื่อประมาณ 500 ล้านปีก่อน และเหวี่ยงมันออกจากระบบดาวเคราะห์แม่ซึ่งน่าจะมาจากแขนเปอร์ซีอุส(Perseus arm) ในทางช้างเผือก Jackson กล่าว การมีองค์ประกอบเป็นไนโตรเจนแข็งยังอธิบายรูปร่างที่ไม่ปกติของโอมูอามูอาด้วย เมื่อไนโตรเจนน้ำแข็งชั้นนอกๆ ชั้นแล้วชั้นเล่าระเหยไป รูปร่างของวัตถุก็น่าจะแบนบางมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับแท่งสบู่ ที่เรียวบางเมื่อเราใช้ไป วัตถุน่าจะเข้าสู่ระบบสุริยะในปี 1995 จากนั้นก็สูญเสียมวล 95% ไปและกลายเป็นรูปแพนเค้ก
สิ่งเดียวกันนี้ก็น่าจะเกิดขึ้นกับดาวหางน้ำแข็ง(water ice) แต่ในระดับที่เล็กกว่าอย่างมาก Jackson กล่าว
น้ำในสภาพน้ำแข็งระเหิดได้ช้ากว่าไนโตรเจนแข็ง นอกจากนี้
เขายังบอกว่าโอมูอามูอายังคงสภาพเป็นชิ้นเดียวได้เมื่อมันระเหิดก็เพราะมันเป็นวัสดุสารเดียว
เทียบกับดาวหางในระบบสุริยะของเราซึ่งเป็นของผสมจากหิน,
น้ำในสภาพน้ำแข็งและองค์ประกอบอื่นๆ ดังนั้นจึงระเหยออกไม่สม่ำเสมอ
นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่ดาวหางมักจะแตกออกเมื่อพวกมันผ่านเข้าใกล้ดวงอาทิตย์อย่างมาก
แม้ว่าธรรมชาติที่คล้ายดาวหางของโอมูอามูอาจะเป็นเรื่องที่ทราบในไม่ช้า
แต่ความไม่สามารถอธิบายมันในรายละเอียดได้อย่างทันทีก็นำไปสู่ข้อสงสัยว่ามันเป็นชิ้นส่วนจากเทคโนโลจีของต่างดาว
ตามที่เพิ่งเผยแพร่ในหนังสือ “Extraterrestrial: the first signs of
intelligent life beyond Earth” โดย Avi
Loeb จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ซึ่งนี่สร้างการโต้เถียงในวงกว้างเกี่ยวกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์และความรับผิดชอบของนักวิทยาศาสตร์ที่จะไม่กระโดดเข้าใส่ข้อสรุปที่ไม่มีเหตุผลรองรับ
ทุกคนสนใจในเอเลี่ยน
และมันก็อดไม่ได้ที่วัตถุแรกที่มาจากนอกระบบสุริยะก็น่าจะทำให้ผู้คนคิดถึงเอเลี่ยน
Desch กล่าว
แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญในทางวิทยาศาสตร์ที่จะไม่พรวดพราดสรุปอย่างนั้น
มันก็ต้องใช้เวลาสองหรือสามปีเพื่อระบุคำอธิบายตามธรรมชาติ
ในฐานะชิ้นน้ำแข็งไนโตรเจน ซึ่งสอดคล้องกับทุกๆ สิ่งที่เราทราบเกี่ยวกับโอมูอามูอา
ซึ่งนั้นก็ไม่ใช่ระยะเวลาที่ยาวนานในทางวิทยาศาสตร์
และโดยรวมก็ยังเร็วเกินไปที่จะพูดว่าเราไม่มีคำอธิบายตามธรรมชาติเหลืออยู่เลย
แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานใดว่ามันเป็นเทคโนโลจีต่างดาว
ในฐานะชิ้นส่วนจากดาวเคราะห์ที่คล้ายพลูโต
โอมูอามูอาได้ให้โอกาสอันพิเศษแก่นักดาราศาสตร์ในการพิจารณาระบบต่างด้าวในแบบที่ไม่เคยทำได้มาก่อน
เมื่อมีการพบและศึกษาวัตถุอย่างโอมูอามูอามากขึ้น
นักวิทยาศาสตร์ก็สามารถขยายความเข้าใจของเราว่าระบบดาวเคราะห์แห่งอื่นๆ
มีสภาพอย่างไร และพวกมันมีความคล้าย หรือแตกต่างจากระบบของเราอย่างไร
งานวิจัยนี้น่าตื่นเต้นที่เราอาจจะไขปริศนาว่าโอมูอามูอาเป็นอะไร
และเราก็มีเหตุผลที่จะจำแนกว่า มันน่าจะเป็นชิ้นส่วนจาก พลูโตนอกระบบ(exo-Pluto)
ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่คล้ายพลูโตในระบบสุริยะแห่งอื่น
Desch กล่าว
กระทั่งบัดนี้ เรายังไม่มีหนทางใดที่จะทราบว่าระบบสุริยะแห่งอื่นๆ
มีดาวเคราะห์ที่คล้ายพลูโตหรือไม่ แต่ตอนนี้เราได้เห็นชิ้นส่วนหนึ่งของมันผ่านเข้าใกล้โลก
Desch และ Jackson หวังว่ากล้องโทรทรรศน์ในอนาคตอย่างกล้องโทรทรรศน์รูบิน(Vera
Rubin Observatory/
Large Synoptic Survey Telescope) ในชิลี
ซึ่งจะสามารถสำรวจท้องฟ้าซีกใต้ได้ทั้งหมด จะสามารถเริ่มต้นค้นหาวัตถุข้ามระบบได้มากขึ้น
และพวกเขาและนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ จะสามารถใช้เพื่อทดสอบแนวความคิดต่างๆ ได้
และในการศึกษาใหม่อีกฉบับได้ประเมินจำนวนของวัตถุข้ามระบบที่จะเข้ามาในระบบสุริยะส่วนในในแต่ละปี
และตัวเลขที่ได้ก็มากพอสมควร Marshall Eubanks จาก Space Initiatives Inc.ได้คำนวณว่าจะมีวัตถุข้ามระบบที่คล้ายโอมูอามูอาเข้ามาภายในวงโคจรโลกเฉลี่ย
7 ดวงต่อปีและด้วยวงโคจรที่ทำนายได้
การประเมินของ Eubanks โพสบนเวบ arXiv
บอกว่ากล้องรูบินน่าจะพบวัตถุข้ามระบบขนาดเล็กอย่างนี้ได้มาก
sciencealert.com : origins of mysterious interstellar visitor ‘Oumuamua may finally be explained
space.com : interstellar object ‘Oumuamua is a pancake-shaped chunk of a Pluto-like planet
skyandtelescope.com : can we expect seven interstellar visitors per year?
No comments:
Post a Comment