สถาบันคัฟลี่เพื่อฟิสิกส์และคณิตศาสตร์แห่งเอกภพ(Kavli
IPMU) เป็นแหล่งของโครงการสหวิชาการมากมายที่เก็บเกี่ยวความเชี่ยวชาญจากความร่วมมือของผู้เชี่ยวชาญศาสตร์หลายๆ
แขนงในสถาบันเอง
โครงการหนึ่งในลักษณะนั้นก็คือการศึกษาหลุมดำที่อาจจะก่อตัวในเอกภพยุคต้น
ก่อนที่ดาวฤกษ์และกาแลคซีจะก่อตัวขึ้น
ภาพจากศิลปินแสดงเอกภพทารกจำนวนมาก ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นของเอกภพ ตามสมมุติฐานใหม่ เมื่อมองจากภายนอกผู้สังเกตการณ์จะไม่ทราบรายละเอียดภายในเอกภพแต่ละแห่งเลย จนดูเสมือนเป็นขอบฟ้าสังเกตการณ์ของหลุมดำดึกดำบรรพ์
หลุมดำดึกดำบรรพ์(primordial black
holes; PBHs) ลักษณะนี้อาจจะเป็นส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดของสสารมืด
โดยส่งผลให้เกิดสัญญาณคลื่นความโน้มถ่วงที่สำรวจพบบางส่วน
และเป็นเมล็ดพันธุ์ของหลุมดำมวลมหาศาล(supermassive black holes; SMBHs) ที่พบในใจกลางกาแลคซีของเราและกาแลคซีอื่นๆ
พวกมันอาจจะแสดงบทบาทในการสังเคราะห์ธาตุหนัก เมื่อพวกมันชนกับดาวนิวตรอนและทำลายดาวไป
ปลดปล่อยมวลสารที่อุดมด้วยนิวตรอนออกสู่อวกาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
มีความเป็นไปได้อย่างน่าตื่นเต้นว่าสสารมืดปริศนาแบบนี้ซึ่งเป็นองค์ประกอบเกือบทั้งหมดของสสารที่พบในเอกภพ
ประกอบด้วยหลุมดำดึกดำบรรพ์ รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ปี 2020 แด่นักทฤษฎี Roger Penrose และนักดาราศาสตร์อีกสองคนคือ Reinhard
Genzel และ Andrea
Ghez สำหรับการค้นพบที่ยืนยันการมีอยู่ของหลุมดำ
เมื่อทราบแน่ชัดว่ามีหลุมดำอยู่จริงในธรรมชาติ
พวกมันก็น่าจะเป็นตัวเลือกว่าที่สสารมืดที่น่าดึงดูดใจอย่างมากด้วย
หลุมดำดึกดำบรรพ์นี้มีหลายสิ่งที่คล้ายกับหลุมดำขนาดเล็กที่ก่อตัวขึ้นจากดาวฤกษ์ยุบตัวลง
ยกตัวอย่างเช่น พวกมันทั้งมีสสารกระจุกตัวอย่างรุนแรงซึ่งดึงกาลอวกาศรอบๆ
ให้มีภาวะเอกฐาน(singularity) ภาวะเอกฐานนั้นเป็นจุดที่ฟิสิกส์ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปซึ่งบิดผืนกาลอวกาศ
มาอยู่ใกล้กับกลศาสตร์ควอนตัม แต่น่าเสียดายที่ทฤษฎีหลักทั้งสองขัดแย้งกันในรายละเอียดความเป็นจริง
ดังนั้นจึงไม่มีใครแน่ใจได้ว่าจริงๆ แล้วภาวะเอกฐานคืออะไร
ความคืบหน้าล่าสุดในทฤษฎีพื้นฐาน, ดาราศาสตร์ฟิสิกส์
และการสำรวจทางดาราศาสตร์เพื่อสำรรวจหา PBHs ซึ่งทำโดยทีมนานาชาติที่ประกอบด้วยนักฟิสิกส์อนุภาค,
นักเอกภพวิทยา และนักดาราศาสตร์ ซึ่งรวมถึงสมาชิกที่มาจาก Kavli IPMU Alexander Kusenko, Misao Sasaki, Sunao
Sugiyama, Masahiro Takada และ Volodymyr
Takhistov เพื่อที่จะเรียนรู้ให้มากขึ้นเกี่ยวกับหลุมดำดึกดำบรรพ์
ทีมวิจัยได้มองไปที่เอกภพยุคต้นเพื่อหาเงื่อนงำ
เอกภพยุคต้นนั้นหนาทึบมากจนความปั่นป่วนในความหนาแน่นเชิงบวก(positive
density fluctuation) ที่มีมากกว่า 50%
น่าจะสร้างหลุมดำขึ้นมาได้
อย่างไรก็ตาม ความปั่นป่วนแบบนี้ที่เป็นเมล็ดพันธุ์ให้กาแลคซีก่อตัวขึ้นนั้นมีขนาดเล็กกว่านี้อย่างมาก
แต่กระนั้น
ก็มีกระบวนการจำนวนหนึ่งในเอกภพยุคต้นที่สามารถสร้างสภาวะที่เหมาะสมต่อการก่อตัวหลุมดำได้
ความเป็นไปได้ที่น่าตื่นเต้นอย่างหนึ่งก็คือ
หลุมดำดึกดำบรรพ์นั้นน่าจะก่อตัวขึ้นจาก “เอกภพทารก”(baby universes) ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างการพองตัว(inflation)
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เชื่อว่าเอกภพมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว
จนเป็นเมล็ดพันธุ์ให้โครงสร้างที่เราสำรวจพบในปัจจุบันเช่น
กาแลคซีและกระจุกกาแลคซี ในระหว่างการพองตัว
เอกภพทารกสามารถแตกกิ่งก้านออกจากเอกภพของเรา เอกภพทารก(หรือลูก)
ตัวน้อยนี้น่าจะยุบตัวลงในที่สุด
แต่พลังงานจำนวนมหาศาลที่ปลดออกมาในปริมาตรขนาดเล็กก็ทำให้หลุมดำก่อตัวขึ้นได้
และยังมีชะตากรรมที่พิสดารกว่านี้รอคอยเอกภพทารกตัวใหญ่อยู่
ถ้ามันมีขนาดใหญ่กว่าขนาดวิกฤติ ทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของ
ไอน์สไตน์อนุญาตให้เอกภพทารกนี้ดำรงอยู่ในสถานะที่มีความแตกต่างระหว่างผู้สังเกตการณ์ที่อยู่ภายในและภายนอกเอกภพนี้
ผู้สังเกตการณ์ภายในจะเห็นมันเป็นเอกภพที่กำลังขยายตัว
ในขณะที่ผู้สังเกตการณ์ภายนอก(อย่างเช่นเรา) จะเห็นมันเป็นหลุมดำ แต่ไม่ว่าในกรณีใด
เอกภพทารกทั้งเล็กและใหญ่ที่เราได้เห็นก็จะเป็นหลุมดำดึกดำบรรพ์
ซึ่งปกปิดโครงสร้างพหุภพ(multiple universe/multiverse) ที่ซ่อนอยู่ไว้ภายใต้ขอบฟ้าสังเกตการณ์
ขอบฟ้าสังเกตการณ์(event horizon) เป็นรอยต่อที่ทุกๆ
สิ่งไม่เว้นแม้กระทั่งแสง จะถูกดักไว้และไม่สามารถหนีออกจากหลุมดำได้
ในรายงานใหม่นี้
ทีมได้อธิบายลำดับเหตุการณ์อันชาญฉลาดสู่การก่อตัวหลุมดำดึกดำบรรพ์และแสดงว่าหลุมดำที่มาจากลำดับเหตุการณ์พหุภพนี้
สามารถถูกพบได้โดย HSC(Hyper Suprime-Cam) บนกล้องโทรทรรศน์ซูบารุขนาด
8.2 เมตร
ซึ่งเป็นกล้องดิจิตอลขนาดยักษ์ภายใต้การจัดการโดย Kavli IPMU บนยอดเมานาคีในฮาวาย งานนี้เป็นการต่อยอดจากการสำรวจหาหลุมดำดึกดำบรรพ์ของ
HSC ที่ Masahiro
Takada ผู้นำทีมที่ Kavili
IPMU กำลังตามล่าอยู่
ทีม HSC ก็เพิ่งรายงานหลักฐานแวดล้อมการมีอยู่ของหลุมดำดึกดำบรรพ์ใน
Niikura, Takada et. al.(Nature Astronomy 3, 2019)
เพราะเหตุใด HSC จึงมีความจำเป็นในงานวิจัยนี้
ก็เพราะมันมีความสามารถอันเป็นอัตลักษณ์ในการถ่ายภาพกาแลคซี
อันโดรเมดา(Andromeda)
ทั้งปวงในทุกๆ ไม่กี่นาที
ถ้ามีหลุมดำผ่านหน้าแนวสายตาสู่ดาวฤกษ์สักดวง แรงโน้มถ่วงของหลุมดำจะบิดเบนลำแสงและทำให้ดาวปรากฏสว่างขึ้นเป็นเวลาสั้นๆ
ช่วงเวลาที่ดาวสว่างขึ้นจะบอกนักดาราศาสตร์ถึงมวลของหลุมดำ ด้วยการสำรวจจาก HSC
ก็สามารถสำรวจดาวฤกษ์หนึ่งร้อยล้านดวงได้ในเวลาเดียวกัน
ขึงตาข่ายขนาดใหญ่ไว้ดักหลุมดำดึกดำบรรพ์ใดๆ ที่อาจจะตัดข้ามแนวสายตาของกล้องนี้
การสำรวจของ
HSC รอบแรกได้รายงานว่าที่เหตุการณ์ที่น่าสนใจมากที่สอดคล้องกับหลุมดำดึกดำบรรพ์จากพหุภพแล้ว
1 เหตุการณ์
โดยหลุมดำมีมวลที่ใกล้เคียงกับมวลดวงจันทร์ของโลก
จากสัญญาณแรกนี้และนำทางโดยความเข้าใจในทางทฤษฎี
ทีมพยายามทำการสำรวจรอบใหม่เพื่อขยายการสำรวจเดิมและเพื่อทดสอบให้แน่ชัดว่าหลุมดำดึกดำบรรพ์จากพหุภพนั้นสามารถเป็นตัวแทนของสสารมืดทั้งหมดได้
งานวิจัยนี้เผยแพร่ใน Physical Review Letters
แหล่งข่าว phys.org
: primordial black holes and the search for dark matter from the multiverse
sciencealert.com :
physicists are still hunting primordial black holes to solve the dark matter
problem
No comments:
Post a Comment