ดาวเคราะห์ XO-3b ดาวเคราะห์นอกระบบชนิดพฤหัสร้อน ในวงโคจรที่รี
ลองจินตนาการว่าอยู่ในที่ที่ลมมีความรุนแรงมากถึงความเร็วเสียง
นี่เป็นสิ่งที่คาดว่าเกิดขึ้นในชั้นบรรยากาศของ XO-3b หนึ่งในดาวเคราะห์นอกระบบชนิดหนึ่งที่เรียกว่า
พฤหัสร้อน(hot Jupiters)
วงโคจรที่รีของดาวเคราะห์ยังชักนำให้มีการแปรผันตามฤดูกาลที่รุนแรงกว่าที่เราพบบนโลกหลายร้อยเท่า
ในรายงานล่าสุด ทีมวิจัยที่นำโดยมหาวิทยาลัยแมกกิลล์
ได้ให้แง่มุมใหม่ว่าฤดูกาลบนดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะสักดวงจะมีสภาพอย่างไร
นักวิจัยยังบอกว่า วงโคจรรูปไข่, อุณหภูมิพื้นผิวที่สูงสุดขั้วถึง 2000 องศาเซลเซียส และความปุกปุย(puffiness) ของ XO-3b ยังเผยให้เห็นความเป็นมาของดาวเคราะห์
การค้นพบนี้น่าจะช่วยพัฒนาทั้งความเข้าใจว่าดาวเคราะห์นอกระบบก่อตัวและพัฒนาอย่างไร
และให้บริบทสู่ดาวเคราะห์ในระบบของเราด้วย
ดาวเคราะห์ชนิดพฤหัสร้อน
เป็นพิภพก๊าซขนาดใหญ่พอๆ กับดาวพฤหัส ซึ่งโคจรอยู่ใกล้กับดาวฤกษ์แม่ของพวกมัน
มากกว่าวงโคจรของดาวพุธรอบดวงอาทิตย์ แม้ว่าจะไม่พบดาวเคราะห์ชนิดนี้ในระบบของเรา
แต่ก็ดูเหมือนว่าจะพบได้ทั่วทั้งกาแลคซีทางช้างเผือก
แต่แม้จะเป็นดาวเคราะห์นอกระบบชนิดที่ถูกศึกษามากที่สุด
แต่คำถามหลักก็ยังคงมีอยู่ว่าพวกมันก่อตัวขึ้นได้อย่างไร
จะมีพฤหัสร้อนกลุ่มย่อยที่มีเรื่องราวการก่อตัวที่แตกต่างออกไปหรือไม่
ยกตัวอย่างเช่น
ดาวเคราะห์เหล่านี้ก่อตัวขึ้นไกลจากดาวฤกษ์แม่ในระยะทางที่เย็นมากพอที่โมเลกุลอย่างน้ำจะกลายเป็นน้ำแข็งได้
หรือก่อตัวขึ้นใกล้กว่านั้น
ลำดับเหตุการณ์แบบแรกสอดคล้องกับทฤษฎีการก่อตัวดาวเคราะห์ในระบบของเรามากกว่า
แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าอะไรที่ผลักดันให้ดาวเคราะห์ชนิดนี้อพยพเข้ามาใกล้กับดาวฤกษ์แม่อย่างมาก
เพื่อทดสอบแนวความคิดเหล่านั้น
ผู้เขียนจากทีมที่นำโดยแมกกิลล์ได้ใช้ข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์ซึ่งปลดเกษียณแล้ว
ซึ่งตรวจสอบชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์นอกระบบ XO-3b พวกเขาสำรวจฤดูกาลของวงโคจรรี และตรวจสอบความเร็วลมบนดาวเคราะห์
ด้วยการสำรวจช่วงดาวเคราะห์เป็นเสี้ยวเมื่อมันโคจรครบรอบดาวฤกษ์แม่
ดาวเคราะห์นี้เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับพลวัตชั้นบรรยากาศและวิวัฒนาการภายใน
เมื่อมันอยู่ในช่วงรอยต่อมวลดาวเคราะห์ที่ปกติแล้วจะเกิดกับพฤหัสร้อนที่มีมวลเบากว่านี้
Lisa Dang ผู้เขียนคนแรกในรายงานที่เผยแพร่ใน
Astronomical Journal นักศึกษาปริญญาเอกที่แผนกฟิสิกส์
มหาวิทยาลัยแมกกิลล์ XO-3b มีวงโคจรรูปไข่แทนที่จะเป็นวงโคจรกลมแบบพฤหัสร้อนอื่นๆ
เกือบทั้งหมด นี่บอกว่ามันเพิ่งอพยพเข้าหาดาวฤกษ์แม่เมื่อเร็วๆ นี้
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น สุดท้าย มันก็จะไปอยู่ในวงโคจรที่กลม
วงโคจรรีของดาวเคราะห์ยังนำไปสู่การแปรผันของฤดูกาลซึ่งรุนแรงกว่าที่เกิดบนโลกหลายร้อยเท่า
Nicolas Cowan ศาสตราจารย์ที่แมกกิลล์
อธิบายว่า
ดาวเคราะห์ทั้งดวงจะได้รับพลังงานเมื่อมันอยู่ใกล้ดาวฤกษ์แม่ในช่วงฤดูร้อนอันสั้นๆ
มากเป็นสามเท่าของช่วงที่มันอยู่ไกลจากดาวฤกษ์
นักวิจัยยังได้ประเมินมวลและรัศมีของดาวเคราะห์ใหม่
และพบว่าดาวเคราะห์ปุกปุยกว่าที่คาดไว้อย่างน่าแปลกใจ พวกเขาบอกว่า
แหล่งความร้อนที่เป็นไปได้น่าจะมาจากการหลอมนิวเคลียสที่ยังเหลืออยู่
การสำรวจโดยไกอาได้พบว่า
ดาวเคราะห์ปุกปุยมากกว่าที่คาดไว้ซึ่งบ่งชี้ว่าภายในของมันจะต้องมีพลังอย่างท่วมท้น
การสำรวจโดยสปิตเซอร์ยังบอกใบ้ว่าดาวเคราะห์ผลิตความร้อนจำนวนมากของมันได้
เนื่องจากการแผ่ความร้อนของดาวเคราะห์ไม่ได้แปรผันตามฤดูกาล
การแผ่ความร้อนพบได้ตลอดทั้งปีของ XO-3b เป็นไปได้ที่ความร้อนส่วนเกินมาจากภายในของดาวเคราะห์เอง
ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า tidal heating แรงบีบความโน้มถ่วงจากดาวฤกษ์ที่มีต่อดาวเคราะห์
แปรผันไปตามวงโคจรรี ซึ่งนำดาวเคราะห์ออกไปไกลและจากนั้นก็เข้าใกล้ดาวฤกษ์
การเปลี่ยนแปลงแรงดันภายในเป็นผลให้เกิดการสร้างความร้อน
สำหรับ Dang พฤหัสร้อนที่ไม่ปกติดวงนี้
ได้ให้โอกาสในการทดสอบความคิดว่ากระบวนการก่อตัวอันใดที่อาจจะสร้างคุณลักษณะจำเพาะของดาวเคราะห์เหล่านี้ขึ้นมา
ยกตัวอย่างเช่น tidal heating ในพฤหัสร้อนดวงอื่นๆ
ก็เป็นสัญญาณของการอพยพที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานหรือไม่ XO-3b เพียงดวงเดียวไม่อาจไขปริศนานี้ได้
แต่มันจะทำหน้าที่เป็นชุดทดสอบสำหรับแนวคิดที่มีเกี่ยวกับยักษ์ร้อนระอุเหล่านี้
สำหรับปฏิบัติการนักล่าดาวเคราะห์นอกระบบในปัจจุบัน
TESS(Transiting Exoplanet Survey Satellite) ก็มาถึงหลักชัยการค้นพบสำคัญ
เมื่อมันได้พบสิ่งที่ทีมเรียกว่า TESS Objects of Interests(TOIs) ผ่านหลัก 5000 ดวงแล้ว TOIs เหล่านั้นรวมว่าที่ดาวเคราะห์และสัญญาณที่น่าสนใจอื่นๆ
นักดาราศาสตร์จะเลือกวัตถุจาก TOIs เหล่านี้มาเพื่อศึกษาในรายละเอียดมากขึ้นและด้วยเครื่องมืออื่นๆ
เพื่อให้เข้าใจว่าจริงๆ แล้ว TESS ได้เห็นอะไร
สำหรับ TOI-5000 เป็นว่าที่ดาวเคราะห์นอกระบบสองดวงในระบบดาวเคราะห์เดียวกัน
เป็นพฤหัสร้อนคู่หนึ่งซึ่งมีคาบการโคจรเพียง 5.5 และ 15.3 วันตามลำดับ
โดยรวมแล้ว มี TOIs 176 ดวงที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นดาวเคราะห์
นับตั้งแต่ที่ส่งปฏิบัติการออกสู่อวกาศในเดือนเมษายน 2018 เนื่องจากจะต้องใช้เวลาการสำรวจมากขึ้นเพื่อยืนยันว่าที่ดาวเคราะห์เหล่านั้นหลังจากที่พบ
TOI นักวิทยาศาสตร์คาดว่าการยืนยันดาวเคราะห์จะล่าช้ากว่าการตรวจจับว่าที่ดาวเคราะห์อย่างมาก
ยกตัวอย่างเช่น Kepler ปฏิบัติการนักล่าดาวเคราะห์ก่อนหน้า
TESS ได้จำแนกว่าที่ดาวเคราะห์มากกว่าสองพันดวงซึ่งก็ยังไม่ได้ยืนยัน
แม้ว่าจะทำการสำรวจเสร็จสิ้นไปตั้งแต่ปี 2013 แล้วก็ตาม(ข้อมูลปฏิบัติการเคปเลอร์มีดาวเคราะห์ที่ยืนยันแล้วมากกว่า
2700 ดวง)
ปฏิบัติเดิม TESS มีกำหนดเวลาการสำรวจสองปี
โดยใช้เวลาครึ่งแรกกวาดไปทั่วซีกฟ้าใต้ และจากนั้นครึ่งหลังก็สลับมาที่ซีกฟ้าเหนือ
เมื่อปฏิบัติการได้ขยายเวลาในเดือนกรกฎาคม 2020 TESS ก็กลับไปทำการสำรวจรูปแบบเดิมซ้ำอีกซึ่งขณะนี้กำลังสำรวจซีกฟ้าเหนือและระนาบสุริยวิถี
ทีมหวังว่า TESS จะทำการสำรวจได้จนถึงอย่างน้อยปี
2025
และขณะนี้ เมื่อประสบความสำเร็จในการส่งกล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์เวบบ์(JWST)
ออกสู่อวกาศและคลี่กาง
นักวิทยาศาสตร์ก็วาดหวังถึงการร่วมมือระหว่าง JWST กับ TESS ตั้งแต่เริ่มต้น
เมื่อ TESS มีข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับพิภพเหล่านี้
ต่อมา กล้องเวบบ์ก็น่าจะรับช่วงศึกษาในเบื้องลึกขึ้น
แหล่งข่าว phys.org
: new insights into seasons on a planet outside our solar system
phys.org : NASA’s TESS
hits milestone of 5000 exoplanet candidates
skyandtelescope.com :
exoplanet hunter racks up 5000 “objects
of interest”
No comments:
Post a Comment