ในกาแลคซีทางช้างเผือกของเรา
น่าจะมีหลุมดำถึงหนึ่งร้อยล้านแห่ง แต่ส่วนใหญ่จะมีมวลพอๆ กับดวงอาทิตย์
แม้ในความเป็นจริงกระทั่งแสงก็ยังหนีออกมาไม่ได้ ทำให้ยากที่จะค้นหาหลุมดำ
โดยทั่วไป จะพบหลุมดำได้ผ่านการควบรวมหรือปฏิสัมพันธ์กับดาวฤกษ์ แต่ขณะนี้
นักดาราศาสตร์ได้พบหลุมดำแห่งหนึ่งที่อยู่เพียงลำพัง
เป็นหลุมดำโดดเดี่ยวแห่งแรกที่เคยพบมา
ในรายงานที่เสนอต่อ Astrophysical
Journal และรอการทบทวนโดยผู้รู้เสมอกัน(peer-review)
นักดาราศาสตร์ได้อธิบายการค้นพบหลุมดำโดดเดี่ยวแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปราว
5 พันปีแสง
ต้องขอบคุณปรากฏการณ์ประหลาดเลนส์ความโน้มถ่วงแบบจุลภาค(gravitational microlensing)
เมื่อแรงโน้มถ่วงบิดห้วงกาลอวกาศ
วัตถุที่มีความหนาแน่นสูงขึ้นเท่าใด แรงโน้มถ่วงก็ยิ่งรุนแรงมากตามไปด้วย และเมื่อวัตถุในคำถามนั้นมีความหนาแน่นสูงอย่างหลุมดำ
การบิดห้วงกาลอวกาศก็จะรุนแรงมากจนมันทำหน้าที่เสมือนเป็นเลนส์
ขยายและรบกวนแหล่งแสงที่อยู่ด้านหลังมัน นั้นเป็นวิธีที่ช่วยให้พบวัตถุ
แต่เมื่อมันอยู่ห่างกันหลายปีแสง ผลที่เกิดขึ้นจึงน้อยและต้องตรวจสอบแสงและตำแหน่งของดาวอย่างละเอียดละออ
เหตุการณ์เลนส์แบบจุลภาคก่อนหน้านี้
ได้นำไปสู่การตรวจจับดาวเคราะห์นอกระบบ(exoplanet) และดาวที่สลัวเกินกว่าจะมองเห็นได้
มีโครงการสำรวจที่ตั้งขึ้นเพื่อจับตาดูท้องฟ้าได้ตรจสอบเลนส์จุลภาคหลายพันเหตุการณ์ต่อปี
ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นดาวฤกษ์ที่เคลื่อนผ่านหน้าดาวฤกษ์อีกดวงซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่สร้างความประหลาดใจเลย
เมื่อพิจารณาว่ามีดาวอยู่มากมายแค่ไหน
และในวันที่ 2 มิถุนายน 2011 การสำรวจเลนส์จุลภาคสองโครงการคือ OGLE(Optical
Gravitational Lensing Experiment) และ MOA(Microlensing
Observations in Astrophysics) ต่างก็บันทึกเหตุการณ์เลนส์แบบจุลภาคซึ่งเกิดขึ้นรุนแรงที่สุดในวันที่
20 กรกฎาคม
ไม่เพียงแต่มันจะเกิดยาวนานจนไม่ปกติ คือราว 270 วัน แต่ยังแสดงกำลังขยายแสงที่สูงมาก
ทีมนานาชาติที่นำโดย Kailash Sahu จากสถาบันวิทยาศาสตร์กล้องโทรทรรศน์อวกาศ ใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลและหอสังเกตการณ์ภาคพื้นดินได้ศึกษาติดตามผลดาวฤกษ์ดวงหนึ่งที่อยู่ในทิศทางใจกลางทางช้างเผือก
การตรวจสอบวัตถุนี้อย่างแม่นยำซึ่งทำใน 8 วาระตลอด
6 ปีได้แสดงถึงเหตุการณ์เลนส์จุลภาคที่มีกำลังขยายสูงซึ่งมีชื่อว่า
MOA-2011-BLG191/OGLE-2011-BLG-0462 จะต้องเกิดขึ้นจากวัตถุที่พื้นหน้าที่มีความหนาแน่นสูง
ทีมได้ประเมินว่าวัตถุมีมวลราว 7.1 บวกลบ 1.3
เท่ามวลดวงอาทิตย์
ซึ่งทำให้ขอบฟ้าสังเกตการณ์(event horizon) ของหลุมดำนี้มีความกว้างเพียง 42 กิโลเมตร ทีมยังแสดงว่าวัตถุนี้ไม่เปล่งแสงใดๆ
เลย มวลที่ประเมินได้นั้นสูงกว่าช่วงมวลที่เป็นไปได้ของดาวนิวตรอนหรือดาวแคระขาว
และการขาดแคลนการเปล่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก็ชี้ให้เห็นถึงตัวการที่น่าตื่นเต้น
เป็นหลุมดำโดดเดี่ยวที่กำลังเคลื่อนที่ไปในทางช้างเผือก
แต่จริงๆ แล้ว มันไม่ได้แค่เคลื่อนที่ง่ายๆ
มันกำลังโคจรไปรอบๆ แกนกลางทางช้างเผือก เหมือนกับระบบสุริยะและเนบิวลาอื่นๆ
ในกาแลคซี มันเคลื่อนที่ในทางช้างเผือกด้วยความเร็วพิเศษอีก 45 กิโลเมตรต่อวินาที เมื่อเทียบกับดาวอื่นๆ
ที่ระยะทางเดียวกัน นี่เป็นการตรวจสอบความเร็วในแนวขวาง(tranverse
velocity) ดังนั้น
การเคลื่อนที่เฉพาะ(proper motion; การเคลื่อนที่ในแบบสามมิติ)
ของมันจึงน่าจะแตกต่างออกไป
แต่แม้ว่าจะมีข้อจำกัดในการตรวจสอบ
แต่ความเร็วนี้ก็บอกบางอย่างแก่เราได้ว่ามันเป็นหลุมดำวิ่งหนี(runaway
black hole)
การระเบิดซุปเปอร์โนวาที่สร้างหลุมดำแห่งนี้จะต้องดีดมันออกมาอย่างรุนแรง
ส่งมันวิ่งข้ามทางช้างเผือก ในรายงาน
ทีมเน้นว่าในขณะที่ก็ยากที่จะติดตามวัตถุนี้
แต่ก็มีโอกาสที่มันอาจจะปรากฏขึ้นในการสำรวจรังสีเอกซ์หรือคลื่นวิทยุห้วงลึก
ที่น่าตื่นเต้นกว่านั้นก็คือ เมื่อหอสังเกตการณ์รุ่นต่อไป อย่าง หอสังเกตการณ์รูบิน(Vera
C. Rubin Observatory) และกล้องโทรทรรศน์อวกาศโรมัน(Nancy
Grace Roman Space Telescope) จะพร้อมทำงานในทศวรรษหน้า
ก็น่าจะนำไปสู่การตรวจสอบเหตุการณ์เลนส์จุลภาคได้มากขึ้น และบางส่วนก็น่าจะเป็นหลุมดำโดดเดี่ยวอื่นๆ
อีก การเข้าใจประชากรกลุ่มที่ชอบหลบกล้องในกาแลคซีของเราจะง่ายขึ้นมาก
แหล่งข่าว iflscience.com
: first truly isolated black hole discovered in the Milky Way
sciencealert.com : for
the first time, a lone black hole has been found wandering the Milky Way
No comments:
Post a Comment