ภาพจากศิลปินแสดง VVV-WIT-08 ซึ่งมีวัตถุข้างเคียงที่มีดิสก์ล้อมรอบ เคลื่อนที่เข้ามาบังแสงจากดาวฤกษ์ยักษ์แดงไว้ จนเหลือความสว่างเพียง 3% ของความสว่างปกติ
นักดาราศาสตร์ได้พบดาวที่หรี่แสงอย่างรุนแรงในทิศทางใจกลางทางช้างเผือกซึ่งอยู่ไกลออกไปมากกว่า
25000 ปีแสง
ทีมนักดาราศาสตร์นานาชาติได้สำรวจดาวฤกษ์ VVV-WIT-08 มีความสว่างลดลงถึง 30 เท่า จนมันแทบจะหายไปจากท้องฟ้า
ในขณะที่ดาวหลายดวงเปลี่ยนแปลงความสว่างเนื่องจากพวกมันหดพอง(pulsate) หรือเกิดคราส(eclipse) กับดาวข้างเคียงในระบบดาวคู่ แต่หาได้ยากมากๆ
ที่ดาวฤกษ์ดวงหนึ่งๆ จะสลัวลงในช่วงเวลาหลายเดือนและจากนั้นก็สว่างขึ้นอีกครั้ง
นักวิจัยเชื่อว่า VVV-WIT-08 อาจจะจัดอยู่ในระบบดาวคู่คราสชนิดใหม่ blinking
giant เมื่อดาวยักษ์ที่มีขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ถึงร้อยเท่า
ถูกบังจากคราสที่ยาวนานในทุกๆ หลายสิบปีโดยดาวข้างเคียงในวงโคจรที่มองไม่เห็น
ดาวข้างเคียงซึ่งอาจจะเป็นดาวฤกษ์อีกดวง หรือดาวเคราะห์ มีดิสก์ทึบแสงขนาดใหญ่ล้อมรอบ
ซึ่งจะปิดบังดาวยักษ์ ทำให้มันหายไปและปรากฏตัวขึ้นใหม่บนท้องฟ้า
การศึกษานี้เผยแพร่ใน Monthly Notices of the Royal Astronomical Society การค้นพบนำทีมโดย Leigh Smith จากสถาบันดาราศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
ซึ่งทำงานกับนักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเอดินเบอระ,
มหาวิทยาลัยเฮิร์ตฟอร์ดเชียร์, มหาวิทยาลัยวอร์ซอว์ในโปแลนด์
และมหาวิทยาลัยแอนดรีส เบลโลในชิลี
Sergey Koposov ผู้เขียนร่วมจากมหาวิทยาลัยเอดินเบอระ กล่าวว่า
มันน่ามหัศจรรย์ที่เราเพิ่งสำรวจพบวัตถุรีขนาดใหญ่ที่มืด ซึ่งผ่านระหว่างเรากับดาวห่างไกลดวงนี้
และเราก็ทำได้แค่สงสัยถึงกำเนิดของมัน
เนื่องจากดาวอยู่ในพื้นที่ที่หนาแน่นของทางช้างเผือก
นักวิจัยจึงคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีวัตถุมืดบางอย่างที่ไม่รู้จัก
แค่เคลื่อนที่ผ่านหน้าดาวยักษ์นี้โดยบังเอิญ อย่างไรก็ตาม แบบจำลองเสมือนจริงได้แสดงว่าน่าจะต้องมีวัตถุมืดจำนวนมากมายมหาศาลอย่างเกินเหตุล่องลอยไปทั่วกาแลคซี
ระบบดาวอื่นๆ ในลักษณะนี้ที่รู้จักกันมานาน
คือ ดาวฤกษ์ยักษ์ Epsilon Aurigae ซึ่งเกิดคราสบางส่วนโดยดิสก์ฝุ่นก้อนมหึมาทุกๆ
27 ปี นาน 730
วันแต่จะมืดลงเพียง 50% เท่านั้น ตัวอย่างที่สอง TYC 2505-672-1 ซึ่งเพิ่งพบเมื่อไม่กี่ปีก่อนนี้เอง
และเป็นผู้ครองสถิติระบบดาวคู่คราสกินเวลา 3.5 ปี ในคาบการโคจรที่นานที่สุดที่ 69 ปี เป็นบันทึกที่ VVV-WIT-08 กำลังก้าวขึ้นมาชิงตำแหน่ง
ทีมที่สหราชอาณาจักรยังได้พบดาวยักษ์ประหลาดลักษณะนี้อีก 2 ดวงนอกเหนือจาก VVV-WIT-08 ซึ่งบอกว่าพวกมันอาจจะเป็นดาวชนิดใหม่
ให้นักดาราศาสตร์ได้สำรวจ
VVV-WIT-08 ถูกพบโดย การสำรวจ VISTA Variables in the
Via Lactea(VVV) ซึ่งเป็นโครงการที่ใช้กล้องโทรทรรศน์
VISTA ที่หอสังเกตการณ์ลาพารานัลในชิลีที่สร้างโดยทีมบริติช
และดำเนินงานโดยหอสังเกตการณ์ทางใต้ของยุโรป(ESO) ซึ่งสำรวจดาวฤกษ์ 1 พันล้านดวงเดิมๆ ในพื้นที่ใจกลางทางช้างเผือกและตามระนาบกาแลคซีส่วนหนึ่งมาเกือบหนึ่งทศวรรษแล้ว
เพื่อสำรวจหาตัวอย่างที่มีความสว่างที่แปรผันในช่วงสเปคตรัมอินฟราเรด ศาสตราจารย์ Philip
Lucas จากมหาวิทยาลัยเฮิร์ตฟอร์ดเชียร์
ผู้นำร่วมโครงการ กล่าวว่า บางครั้งเราก็พบดาวแปรแสง(variable stars) ที่ไม่สามารถจัดไว้ในหมวดหมู่ที่มีอยู่ได้
ซึ่งเราจะเรียกว่า มันคืออะไร(what-is-this?) หรือวัตถุ WIT เราไม่ทราบจริงๆ ว่ายักษ์กระพริบแสงเหล่านี้มีความเป็นมาอย่างไร
มันน่าตื่นเต้นที่ได้เห็นการค้นพบลักษณะนี้จาก VVV หลังจากวางแผนและรวบรวมข้อมูลมาหลายปีมากๆ
ในขณะที่ VVV-WIT-08 ถูกพบโดยใช้ข้อมูล VVV แต่การมืดลงของดาวก็ถูกสำรวจโดย OGLE(Optical
Gravitational Lensing Experiment) ซึ่งเป็นโครงงานสำรวจของมหาวิทยาลัยวอร์ซอว์ที่ดำเนินงานมาอย่างยาวนาน
OGLE ทำการสำรวจถี่กว่า
แต่ก็ใกล้เคียงกับช่วงตาเห็นในสเปคตรัมมากกว่า
การสำรวจถี่เหล่านี้เป็นกุญแจในการทำแบบจำลอง VVV-WIT-08 และพวกมันก็แสดงว่าดาวยักษ์มืดลงในปริมาณใกล้เคียงกันทั้งในช่วงตาเห็นและอินฟราเรด
มีกราฟแสงที่เกือบสมมาตร
วัตถุอันดับแปดในบัญชี VVV-WIT-08 เป็นดาวยักษ์แดงที่พบว่าเริ่มสลัวลงอย่างฉับพลันในช่วงเริ่มปี
2012 ในขณะที่มีช่องว่างจากการสำรวจเมื่อมองดาวไม่เห็นซึ่งทำให้ยากที่จะบอกแน่ใจว่าการสลัวลงเริ่มต้นขึ้นเมื่อใด
การตรวจสอบที่บันทึกไว้ได้แสดงการหรี่แสงและคืนความสว่างที่ราบรื่น
พฤติกรรมนี้แตกต่างจากการหรี่แสงยกกำลังสองที่เกิดขึ้นเมื่อมีวัตถุขนาดเล็ก เช่น
ดาวเคราะห์นอกระบบ เคลื่อนที่ผ่านหน้าดาวฤกษ์แม่ของพวกมัน
หลังจากตัดแนวคิดว่าดาวมีการแปรแสงในตัวออกไป ทีมก็ประเมินว่าอะไรก็ตามที่กำลังบังแสงดาวนี้
มันจะต้องมีขนาดใหญ่ ด้วยรัศมีอย่างน้อย ¼ ของระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์(0.25
AU) และอาจจะใหญ่กว่านั้นได้
ยิ่งกว่านั้น มันดูเหมือนจะไม่ได้เป็นทรงกลม แต่มีลักษณะที่รีหรือเป็นรูปไข่แทน
พูดอีกอย่างว่า สิ่งนี้ไม่ใช่ดาวเคราะห์อย่างแน่นอน
ทีมจึงบอกว่าดาวน่าจะมีวัตถุข้างเคียง
ไม่ว่าจะเป็นดาวเคราะห์หรือดาวฤกษ์อื่นซึ่งตัวมันเองก็จะต้องมีดิสก์ล้อมรอบอีกที
ดิสก์ลักษณะนี้น่าจะต้องทั้งใหญ่มากพอและมีรูปร่างที่กันแสงดาวยักษ์ได้
อย่างไรก็ตาม ยังคงไม่แน่ชัดว่าดิสก์จะมีสภาพอย่างไรกันแน่
ดิสก์ฝุ่นและก๊าซที่ล้อมรอบดาวอายุน้อยที่ยังอยู่ในขั้นตอนการก่อตัว
แต่ดิสก์ฝุ่นน่าจะกันแสงช่วงสีฟ้าได้มากกว่าสีแดง
แต่นักดาราศาสตร์ก็ไม่พบรูปแบบเช่นนั้นในกรณีนี้
ดิสก์ฝุ่นรอบดาวฤกษ์วิถีหลัก(main-sequence
star) ก็เช่นกัน
ดิสก์รอบดาวแคระขาวก็น่าจะเล็กเกินไป และไม่พบสัญญาณรังสีเอกซ์จากดิสก์ถ้าอยู่รอบๆ
ดาวนิวตรอนหรือหลุมดำ ความเป็นไปได้ทางหนึ่งก็คือ
ดาวเคราะห์ในวงโคจรระยะประชิดรอบดาวฤกษ์ได้ดึงก๊าซบางส่วนออกมา
แล้วห่อตัวมันเองไว้ในรังก๊าซนี้ แต่ก็ยังไม่สามารถอธิบายผลจากการสำรวจทั้งหมดได้
ขณะนี้ ดูเหมือนว่าจะมีระบบดาวประมาณ 6
แห่งที่จัดอยู่ในประเภทนี้ได้
ซึ่งมีดาวฤกษ์ยักษ์และดิสก์ทึบแสงขนาดใหญ่ Smith กล่าวว่า แน่นอนว่าน่าจะได้พบเพิ่มเติมอีก
แต่ความท้าทายขณะนี้ก็คือการระบุว่าวัตถุข้างเคียงที่ซ่อนอยู่เป็นอะไร
และพวกมันมาถูกล้อมรอบด้วยดิสก์ได้อย่างไรแม้ว่าจะโคจรอยู่ไกลจากดาวยักษ์อย่างมาก
เพื่อที่จะทำเช่นนั้น เราอาจจะเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ว่าระบบลักษณะนี้พัฒนาอย่างไร
แหล่งข่าว phys.org
: astronomers spot a “blinking giant” near
the center of the galaxy
sciencealert.com : a mysterious,
giant “blinking” object has been detected near our
galaxy’s center
iflscience.com : giant
star obscured by mysterious “dark,
large, elongated” object
spotted by astronomers
skyandtelescope.com : the
giant star that “blinked”
No comments:
Post a Comment