ในเดือนสิงหาคม 1865 มีหินขนาดย่อมๆ ตกจากฟ้ามาที่โลก โดยชนเข้าที่หมู่บ้านชนบทในอินเดีย หลังจากที่ผู้เห็นเหตุการณ์ได้เก็บชิ้นส่วนมา ก้อนหินก็ถูกจำแนกที่มา หลังจากมากกว่าหนึ่งศตวรรษที่ศึกษาชิ้นส่วนอุกกาบาตเหล่านี้ที่เรียกว่า shergottites สุดท้าย นักวิจัยในทศวรรษ 1980 ก็ตรวจสอบพบกำเนิดของมันว่ามาจากดาวอังคารเพื่อนบ้านของเรา
จนกว่ามนุษยชาติจะนำตัวอย่างจากดาวอังคารกลับมาที่โลกได้
ชิ้นส่วนจากดาวเคราะห์แดงเพียงชิ้นเดียวที่พบบนโลกก็คืออุกกาบาตอย่างเชอร์กอตไทต์
การเดินทางของนักเดินทางดาวอังคารเหล่านี้มาจากความรุนแรง จากดาวอังคารถูกยิงมาที่โลก
พวกมันจะต้องถูกดีดออกจากพื้นผิวดาวเคราะห์แดงได้เมื่อมีแรงมากพอที่จะหนีแรงโน้มถ่วงของดาวอังคาร
การผลักนี้น่าจะเกิดขึ้นจากการชนครั้งใหญ่บนดาวอังคาร
หินที่ทนทานอุณหภูมิและความดันรุนแรงจากการชนนี้ได้ และบินผ่านสูญญากาศของอวกาศ
จนสุดท้ายก็กระแทกลงบนโลก
เป็นเวลาหลายทศวรรษแล้วที่นักวิทยาศาสตร์ได้ทำงานเพื่อทำแบบจำลองการชนบนดาวอังคารที่ส่งชิ้นส่วนดาวเคราะห์แดงมาที่โลก
ขณะนี้ นักวิจัยที่คาลเทคและห้องทดลองไอพ่นขับดัน(JPL) ได้ทำการทดลองจำลองสิ่งที่เรียกว่า
แรงดันการกระแทก(shock pressure) ที่หินดาวอังคารต้องเจอ
พวกเขาได้พบว่าแรงดันที่ต้องใช้ในการยิงก้อนหินจากดาวอังคารออกสู่อวกาศนั้นต่ำกว่าที่เคยคิดไว้อย่างมาก
งานวิจัยนี้ทำที่ห้องทดลองของ Paul
Asimow ศาสตราจารย์ด้านธรณีวิทยาและธรณีเคมี
การศึกษาอธิบายในรายงานที่เผยแพร่ในวารสาร Science Advances วันที่ 3 พฤษภาคม
อุกกาบาตจากแหล่งต่างๆ ที่พบบนโลกมาหลายพันปี
แต่ก็ไม่ทราบกำเนิดของพวกมันจนเมื่อเร็วๆ นี้ เมื่อยานโคจรไวกิ้ง(Viking
Orbiter) ของนาซาทำการตรวจสอบองค์ประกอบชั้นบรรยากาศดาวอังคารในช่วงปลายทศวรรษ
1970 Ed Stolper จากคาลเทค
เป็นคนแรกที่บอกว่าเชอร์กอตไทต์นั้นมาจากดาวอังคาร
ซึ่งได้รับยืนยันในเวลาต่อมาเมื่อก๊าซในชั้นบรรยากาศอันเบาบางของดาวอังคารสอดคล้องกับก๊าซที่ถูกเก็บกักไว้ในอุกกาบาต
แต่ก็ไม่ใช่ว่าองค์ประกอบของอุกกาบาตที่บอกเราเกี่ยวกับการเดินทางของมัน
องค์ประกอบหลักอย่างหนึ่งในหินดาวอังคารก็คือ ผลึกแร่พลาจิโอคลาส(plagioclase)
ภายใต้แรงดันสูงเช่น
จากการชนที่รุนแรง พลาจิโอคลาสจะแปรสภาพเป็นวัสดุสารเนื้อแก้วที่เรียกว่า มัสเคลไลไนต์(maskelynite)
การพบมัสเคลไลไนต์ในหินจึงบ่งชี้ถึงชนิดความดันที่ตัวอย่างต้องพบเจอมา
ในช่วงห้าปีหลังนี้ พบว่าอุกกาบาตดาวอังคารมีส่วนผสมของพลาจิโอคลาส
และมัสเคลไลไนต์ ซึ่งบ่งชี้ถึงขีดจำกัดแรงดันขั้นสูงที่ตัวอย่างได้เจอ
ในการศึกษาใหม่ซึ่งนำโดย Jinping Hu นักวิทยาศาสตร์คาลเทค
ทีมได้ทำการทดลองโดยใช้หินบนโลกที่มีพลาจิโอคลาสและชน
และสำรวจหาแร่ธาตุแปรสภาพภายใต้แรงดันอย่างไร
ทีมได้พัฒนาวิธีการเที่ยงตรงมากขึ้นในการจำลองการชนดาวอังคารในการทดลองการกระแทก
โดยใช้ “ปืน” ที่ยิงหินเดินทางด้วยความเร็วมากกว่า 5 เท่าความเร็วเสียง
การทดลองแรงดันการกระแทกก่อนหน้านี้ใช้คลื่นกระแทกที่เคลื่อนผ่านถังเหล็ก ซึ่งให้ภาพสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างการชนที่ไม่ตรงความเป็นจริง
เราไม่ได้อยู่บนดาวอังคาร
เราจึงไม่ได้เห็นอุกกาบาตชนกับตา Yang Liu นักวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ที่
JPL และผู้เขียนร่วมการศึกษา
กล่าวว่า แต่เราก็สามารถสร้างการชนคล้ายๆ กันในห้องทดลองได้ เมื่อทำแบบนั้น
ก็พบว่าใช้แรงดันเพื่อส่งอุกกาบาตดาวอังคารน้อยกว่าที่เคยคิดไว้
การทดลองก่อนหน้านี้ได้แสดงว่าพลาจิโอคลาสเปลี่ยนเป็นมัสเคลไลไนต์ ที่แรงดันกระแทก
30 กิกะพาสกาล
ซึ่งสูงกว่าความดันบรรยากาศโลกที่ระดับน้ำทะเล 3 แสนเท่า
การศึกษาใหม่ได้แสดงว่าการแปรสภาพแท้จริงแล้วเกิดที่ราว 20 กิกะพาสกาล ซึ่งแตกต่างจากการทดลองก่อนหน้านี้อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค่าแรงดันใหม่ที่ได้สอดคล้องกับหลักฐานจากแร่ความดันสูงอื่นๆ ในอุกกาบาตเหล่านี้ ซึ่งบอกว่าแรงดันการกระแทกจะต้องไม่ถึง 30 กิกะพาสกาล ในบรรดาแร่ธาตุจากความดันสูง 10 ชนิดที่พบในอุกกาบาตดาวอังคาร มี 9 ชนิดถูกพบที่คาลเทคในการศึกษาที่นำโดย Chi Ma นักแร่ธาตุวิทยา ผู้อำนวยการแผนกวิเคราะห์ของคาลเทค และผู้เขียนร่วมการศึกษานี้ กล่าว
เป็นการท้าทายพอสมควรที่จะจำลองการชนที่สามารถส่งหินออกจากดาวอังคารในขณะที่กระแทกพวกมันด้วยความดัน
30 กิกะพาสกาล Asimow
กล่าว ในบริบทนี้ ความแตกต่างระหว่าง
30 GPa กับ 20
Gpa จึงสำคัญ
ยิ่งเราจำแนกแรงดันการกระแทกที่อุกกาบาตต้องเจอได้อย่างเที่ยงตรงมากขึ้น
ก็เป็นไปได้มากขึ้นที่เราจะสามารถจำแนกหลุมอุกกาบาตบนดาวอังคารที่อุกกาบาตหลุดออกมา อย่างที่ทำกับอุกกาบาต
“Black Beauty” จากดาวอังคาร
ซึ่งตามรอยย้อนกลับไปได้ถึงหลุมอุกกาบาตแห่งหนึ่งที่ Terra Cimmeria
เมื่อใช้แรงดันการกระแทกน้อยกว่าที่เคยเชื่อไว้ก็หมายความว่า
อาจจะมีชิ้นส่วนดาวอังคารล่องลอยในอวกาศมากขึ้น และกำลังเดินทางมาที่โลก
sciencealert.com : almost 200 fragments of Mars, made it all the way to Earth. But how?
No comments:
Post a Comment