ภาพอินฟราเรดแสดงพื้นที่รอบหลุมดำทางช้างเผือก Sgr A* จะพบดาวฤกษ์ร้อนอายุน้อยเพ่นพล่านเฉียดหลุมดำยักษ์นี้อยู่มากมายซึ่งไม่สามารถอธิบายกำเนิดของพวกมันได้
งานศึกษาใหม่บอกว่า
ดาวฤกษ์ที่พบอยู่ใกล้กับหลุมดำมวลมหาศาลในใจกลางทางช้างเผือกมากที่สุด กลับอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่มีดาวเพื่อนบ้านเลย
ด้วยการใช้หอสังเกตการณ์เคกบนเมานาคี ฮาวาย
Devin Chu จากไฮโล
นักดาราศาสตร์จาก UCLA Galactic Center Orbits Initiative ได้นำการสำรวจที่กินเวลา 10 ปีและพบว่า ดาวฤกษ์เอส(S-stars; S มาจาก Sagittarius A*หลุมดำยักษ์ในใจกลางทางช้างเผือก) เหล่านี้ซึ่งเป็นดาวที่อยู่ใกล้กับหลุมดำอย่างมากทั้งหมดล้วนเป็นดาวเดี่ยว
ผลสรุปนี้สร้างความประหลาดใจแม้ว่าดาวเอสที่ทีมของ
Chu สำรวจจะรวมถึงดาววิถีหลักมวลสูงอายุน้อยเพียง
6 ล้านปีเท่านั้น
โดยปกติแล้ว ดาวมวล 10 เท่าดวงอาทิตย์ที่มีอายุระดับนี้
จะใช้เวลาช่วงวัยเด็กอยู่กับคู่แฝดในระบบดาวคู่(binary) หรือบางทีก็อาจเป็นแฝดสาม
การค้นพบนี้จึงบอกถึงสภาพแวดล้อมรอบใจกลางกาแลคซีที่น่าสนใจอย่างไม่น่าเชื่อ
Chu กล่าว
เขาเป็นผู้เขียนนำการศึกษาใหม่ที่เผยแพร่ใน The Astrophysical Journal นี่น่าจะเป็นเพราะอิทธิพลอันทรงพลังของหลุมดำมวลมหาศาลที่ทำให้ระบบดาวคู่อาจจะควบรวมกัน
หรือถูกรบกวนจนดาวข้างเคียงในคู่ถูกผลักหลุดจากพื้นที่นี้ไป
นี่อาจจะอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใด เราจึงไม่เห็นดาวที่มีคู่หู อยู่ใกล้กับ Sagittarius
A* เลยสักดวง
การสำรวจที่นานเป็นทศวรรษนี้เป็นการสำรวจระบบคู่ภายในกระจุกดาวเอสอย่างเป็นระบบเป็นครั้งแรก
ด้วยการใช้ระบบปรับกระจกของกล้องเคก คู่กับสเปคโตรกราฟ OSIRIS ทีมก็ตามรอยการเคลื่อนที่ของดาวเอส 28 ดวงที่โคจรในระยะทาง 1 เดือนแสง(light-month; ราว 7.77 แสนล้านกิโลเมตร)
จาก Sgr A* โดยมี 16 ดวงในจำนวนนี้ที่เป็นดาววิถีหลักสเปคตรัมชนิดบี(B-type)
อายุน้อย และที่เหลือก็เป็นดาวมวลต่ำ
ชนิดเอ็ม(หรือแคระแดง) อายุมากและดาวยักษ์ชนิดเค
ระบบปรับกระจกของเคกกับ OSIRIS มีความสำคัญอย่างยิ่งโดยให้สายตาอินฟราเรดที่เราต้องการเพื่อเจาะทะลุผ่านฝุ่นที่ใจกลางกาแลคซี
เช่นเดียวกับการแยกแยะดาวเอสแต่ละดวงในพื้นที่ที่แออัดอย่างนี้แห่งนี้ Chu กล่าว
ไม่เพียงแต่พวกเขาพบว่าดาวเอสอยู่แบบโดดเดี่ยว
นักวิจัยยังสามารถคำนวณขีดจำกัดที่ดาวเอสเหล่านี้จะปรากฏเป็นระบบคู่ได้
ซึ่งเป็นตัวแปรที่เรียกว่า สัดส่วนระบบคู่(binary fraction)
พวกเขาพบว่าขีดจำกัดสัดส่วนระบบคู่ของดาวเอสอายุน้อยอยู่ที่
47% ซึ่งหมายความว่า
สำหรับดาวเอสทุกๆ 100 ดวง
จะมีมากที่สุด 47 ดวงที่อาจจะอยู่ในระบบดาวคู่
ขีดจำกัดนี้ต่ำกว่าที่คาดไว้สำหรับดาวอายุน้อยชนิดใกล้เคียงกันในละแวกอื่นในกาแลคซีทางช้างเผือก
ซึ่งมีสัดส่วนระบบคู่อยู่ที่ 70%
การค้นพบจึงบอกว่าดาวที่มีดาวข้างเคียงยากจะอยู่ด้วยกันได้ในสภาพแวดล้อมที่สุดขั้วรอบหลุมดำมวลมหาศาลของทางช้างเผือก
การค้นพบยังเพิ่มความน่าฉงนให้กับธรรมชาติดาวเอสมากขึ้นไปอีก ซึ่งก็มีปริศนาการกำเนิดอยู่แล้ว
ความต่างของแรงโน้มถ่วงหลุมดำมักจะรบกวนการก่อตัวดาวในรูปแบบปกติ
เพิ่มคำถามว่าดาวเอสพัฒนาขึ้นในสภาพความปั่นป่วนรุนแรงที่ Sgr A* สร้างขึ้นได้อย่างไร
แต่ต้องยอมรับสิ่งหนึ่งว่ากลุ่มตัวอย่างของ
Chu ซึ่งมีดาวเพียง
28 ดวงยังน้อยเกินไป
อย่างไรก็ตาม มีความจริงประการหนึ่งว่า
ไม่มีดาวในกลุ่มตัวอย่างศึกษาเลยสักดวงที่มีการเปลี่ยนแปลงความเร็วแนวสายตา(radial
velocity) ซึ่งบอกถึงดาวข้างเคียง
ทำให้ตัวเลข 47% ที่ได้เป็นตัวเลขขั้นสูง
ไม่ใช่ขั้นต่ำ นอกจากนี้เป็นไปได้ที่ดาวที่อายุมากกว่าในกลุ่มตัวอย่างของ Chu
อาจจะอพยพเข้าใกล้จากสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยกว่า
แต่ดาวที่อายุน้อยไม่น่ามีเวลาเดินทางได้ไกลมากนัก อย่างไรก็ตาม
กระจุกดาวเอสที่มีอยู่นี้ก็เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมากว่าสามสิบปีแล้ว
ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้โอกาสในการศึกษาดาวที่น่าฉงนและน่าทึ่งเหล่านี้จากเกาะบ้านเกิดของผม
Chu กล่าว
ข้อมูลบางส่วนที่ใช้ในการสำรวจนี้ก็ได้มาตอนผมยังเป็นนักเรียนมัธยมไฮโลอยู่เลย
จึงรู้สึกได้รางวัลชิ้นใหญ่ที่ได้ทำการค้นพบนี้ในขณะที่กลับบ้านเก่า
แหล่งข่าว phys.org
: a strange, solitary life for young stars at the Milky Way’s center
iflscience.com : why even
hot stars are lonely near the galactic center
No comments:
Post a Comment