ภาพพื้นที่รอบๆ Abell 3744 โดย NIRCam กาแลคซีที่ยืนยันระบุโดยสี่เหลี่ยมสีแดง และแสดงทีละแห่งในภาพซูม ตำแหน่ง กระจุกที่กำลังพัฒนาตัวแห่งนี้ปรากฏเมื่อเอกภพมีอายุราว 650 ล้านปีหลังจากบิ๊กแบง
ยักษ์ทุกตนเคยเป็นเด็กน้อย
แม้ว่าคุณอาจจะไม่เคยได้เห็นการพัฒนาในขั้นตอนนั้น
กล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์เวบบ์ของนาซาได้เริ่มเปิดช่องสู่ช่วงการเติบโตของเอกภพ
ซึ่งครั้งหนึ่งเคยอยู่ไกลเกินเอื้อมถึง นั้นก็คือ
การก่อตัวและการเกาะกลุ่มของกาแลคซี
เป็นครั้งแรกที่ได้ยืนยันกระจุกกาแลคซีทารก(protocluster)
ที่มีกาแลคซี 7 แห่ง ที่ระยะทางที่นักดาราศาสตร์เรียกว่าเรดชิพท์
7.9 หรือราว 650
ล้านปีหลังจากบิ๊กแบง
จากข้อมูลที่รวบรวมได้
นักดาราศาสตร์ได้คำนวณการพัฒนาในอนาคตของกระจุกละอ่อนแห่งนี้
พบว่ามันน่าจะเจริญเติบโตจนมีขนาดและมวลพอๆ กับกระจุกโคมา(Coma Cluster) ซึ่งเป็นกระจุกกาแลคซีที่ใหญ่โตมากในเอกภพยุคปัจจุบัน
นี่เป็นวิวัฒนาการกาแลคซีแบบเร่งด่วนที่เป็นอัตลักษณ์พิเศษมาก
และเวบบ์ก็ช่วยให้เราสามารถตรวจสอบความเร็วของกาแลคซีทั้งเจ็ดนี้
และยืนยันอย่างมั่นใจว่าพวกมันเกาะกลุ่มกันในกระจุกทารก Takahiro Morishita
จาก IPAC-Caltech ผู้เขียนนำการศึกษาเผยแพร่ใน Astrophysical
Journal Letters กล่าว
การตรวจสอบโดยสเปคโตรกราฟอินฟราเรดใกล้(NIRSpec) อย่างแม่นยำ
เป็นกุญแจสู่การยืนยันระยะทางร่วมของกาแลคซีเหล่านี้
และความเร็วที่สูงซึ่งพวกมันกำลังเคลื่อนที่ไปภายในกลดสสารมืด ด้วยความเร็วมากกว่า
3.2 ล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมง
ข้อมูลสเปคตรัมช่วยให้นักดาราศาสตร์ได้ทำแบบจำลองและทำแผนที่การพัฒนาในอนาคตของกลุ่มนี้
จนถึงช่วงเวลาเอกภพปัจจุบัน การทำนายบอกว่ากระจุกทารกจะมีสภาพคล้ายกับกระจุกโคมา(Coma
Cluster) ซึ่งสุดท้ายก็น่าจะเป็นกระจุกกาแลคซีที่หนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่ง
โดยมีสมาชิกหลายพันแห่ง Benedetta Vulcani จากสถาบันดาราศาสตร์ฟิสิกส์แห่งชาติในอิตาลี
สมาชิกทีมวิจัยอีกคน กล่าวว่า
เราจะเห็นกาแลคซีห่างไกลเหล่านี้เหมือนกับเป็นหยดน้ำขนาดเล็กในลำธารที่แตกต่างกัน และเราก็จะเห็นว่าสุดท้ายพวกมันก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำสายใหญ่
กระจุกกาแลคซีเป็นกลุ่มของมวลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอกภพที่เคยพบมา
ซึ่งสามารถบิดกาลอวกาศได้ การบิดซึ่งเรียกว่า ปรากฏการณ์เลนส์ความโน้มถ่วง(gravitational
lensing) ให้ผลขยายแสงจากวัตถุที่อยู่เบื้องหลังกระจุก
ช่วยให้นักดาราศาสตร์ได้มองผ่านกระจุกราวกับเป็นแว่นขยายอันยักษ์
ทีมวิจัยจึงสามารถใช้ประโยชน์จากปรากฏการณ์นี้มองผ่านกระจุกของแพนโดรา
(Pandora’s
Cluster) เพื่อดูกระจุกทารกแห่งนี้
แม้แต่เครื่องมือที่ทรงพลังของกล้องเวบบ์ก็ยังต้องใช้ตัวช่วยจากธรรมชาติเพื่อให้มองเห็นได้
การศึกษาว่ากระจุกขนาดใหญ่อย่างโคมาและแพนโดรา
เริ่มสร้างตัวอย่างไรในตอนแรกเป็นเรื่องที่ยาก
อันเนื่องจากการขยายตัวของเอกภพที่ได้ยืดแสงจากช่วงความยาวคลื่นที่ตาเห็นได้ไปเป็นช่วงอินฟราเรด
ซึ่งก่อนการมีกล้องเวบบ์ นักดาราศาสตร์ไม่เคยมีข้อมูลความละเอียดสูงเลย
เครื่องมืออินฟราเรดของเวบบ์ถูกพัฒนาเป็นพิเศษให้เติมช่องว่างในช่วงเริ่มต้นเรื่องราวเอกภพเหล่านี้
กาแลคซีทั้งเจ็ดที่กล้องเวบบ์ได้ยืนยันถูกระบุเป็นว่าที่วัตถุที่จะสำรวจโดยใช้ข้อมูลจากโครงการ
Frontier Fields ของกล้องฮับเบิล
โครงการนี้อุทิศเวลาการสำรวจของฮับเบิลเพื่อสำรวจเลนส์ความโน้มถ่วง
เพื่อค้นหากาแลคซีที่ห่างไกลมากๆ อย่างไรก็ตาม
เนื่องจากฮับเบิลไม่สามารถตรวจจับแสงที่เลยจากอินฟราเรดใกล้ได้ จึงยังมีรายละเอียดอีกมากมายที่จะสำรวจได้
เวบบ์จึงมาทำงาน ซึ่งมุ่งเป้าไปที่กาแลคซีที่ฮับเบิลพบและรวบรวมข้อมูลสเปคตรัมนอกเหนือจากการถ่ายภาพ
ทีมวิจัยบอกว่าความร่วมมือในอนาคตระหว่างกล้องเวบบ์กับกล้องโรมัน
ซึ่งเป็นปฏิบัติการสำรวจพื้นที่กว้างด้วยความละเอียดสูงในอนาคต
จะยิ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับกระจุกกาแลคซียุคต้นได้มากขึ้น ด้วยพื้นที่สำรวจมากกว่าฮับเบิลถึง
200 เท่าในช่วงอินฟราเรด
กล้องโรมันจะสามารถจำแนกว่าที่กระจุกทารกได้มากขึ้น
ซึ่งเวบบ์จะสำรวจติดตามผลเพื่อยืนยันด้วยสเปคตรัม
โดยปฏิบัติการกล้องโรมันมีเป้าหมายการส่งออกสู่อวกาศในเดือนพฤษภาคม 2027
เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่วิทยาศาสตร์ที่เราเคยได้แต่ฝัน
ก็ทำได้จริงโดยใช้กล้องเวบบ์ Tommaso Treu จากยูซีแอลเอ
สมาชิกทีมวิจัยกระจุกทารก กล่าว ด้วยกระจุกทารกขนาดเล็กที่มีกาแลคซี 7 แห่งในระยะทางที่ไกลเช่นนั้น
และเราก็มีอัตราการยืนยันด้วยสเปคตรัม 100% ได้แสดงถึงศักยภาพในอนาคตที่จะทำแผนที่สสารมืดและเติมไทม์ไลน์การพัฒนาในยุคต้นของเอกภพได้
แหล่งข่าว phys.org
: Webb reveals early-universe prequel to huge galaxy cluster
space.com : James Webb
Space Telescope spots huge galactic protocluster in the early universe
No comments:
Post a Comment