ดาวดวงเล็กกว่า, สว่างกว่าและร้อนแรงกว่า(ดวงซ้าย) มีมวล 32 เท่าดวงอาทิตย์ กำลังสูญเสียมวลให้กับดาวข้างเคียงขนาดใหญ่(ขวา) ซึ่งมีมวล 55 เท่าดวงอาทิตย์ ดาวที่ร้อนจัดจะมีสีขาวและฟ้า ที่อุณหภูมิ 43000 และ 38000 เคลวิน ตามลำดับ
การศึกษาใหม่บอกว่า
ดาวมวลสูงสองดวงที่กำลังสัมผัสกันและกันอยู่ในกาแลคซีใกล้ๆ
แห่งหนึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนเพื่อกลายเป็นหลุมดำ ซึ่งสุดท้ายจะชนกัน
สร้างคลื่นในผืนกาลอวกาศ
การศึกษาโดยนักวิจัยที่ University
College London และมหาวิทยาลัยพอทชดัม
เผยแพร่ในวารสาร Astronomy & Astrophysics ได้พิจารณาระบบดาวคู่แห่งหนึ่งซึ่งพบมานานแล้ว
และวิเคราะห์แสงดาวจากกล้องโทรทรรศน์ในอวกาศและบนภาคพื้นดิน
นักวิจัยได้พบว่าดาวคู่นี้ซึ่งอยู่ในกาแลคซีแคระเพื่อนบ้านที่เรียกว่า
เมฆมาเจลลันเล็ก(Small Magellanic Cloud) มีการสัมผัสกันและกันบางส่วนและแลกเปลี่ยนวัสดุสารซึ่งกันและกัน
โดยดาวดวงหนึ่งกำลังป้อนมวลสารให้กับอีกดาว พวกมันโคจรรอบกันและกันในเวลาทุกๆ 3
วันเท่านั้นและเป็นดาวที่สัมผัสกัน(contact
binaries) ซึ่งมีมวลสูงที่สุดเท่าที่เคยสำรวจมา
ในการศึกษา นักวิจัยตรวจสอบสเปคตรัมแสงช่วงต่างๆ
ที่ได้จากระบบดาวคู่แห่งนี้ในการวิเคราะห์สเปคตรัม
โดยใช้ข้อมูลที่ได้จากกล้องฮับเบิลและอุปกรณ์ MUSE บน VLT ในชิลี
ในหลายช่วงเวลา
ในช่วงความยาวคลื่นตั้งแต่อุลตราไวโอเลตจนถึงช่วงตาเห็นและอินฟราเรดใกล้
ด้วยข้อมูลนี้ ทีมก็สามารถคำนวณความเร็วแนวสายตา(radial velocity) ของดาวได้ ซึ่งบอกถึงการขยับเข้าออกจากโลก
และได้ค่ามวล, ความสว่าง, อุณหภูมิและวงโคจร
จากนั้นก็นำตัวแปรเหล่านี้มาหาแบบจำลองที่สอดคล้องที่สุด
การเปรียบเทียบผลการสำรวจนี้กับแบบจำลองทฤษฎีว่าด้วยวิวัฒนาการดาวในระบบคู่
นักวิจัยก็พบว่าให้ผลสอดคล้องมากที่สุดกับแบบจำลองที่บอกว่า ดาวที่กำลังได้รับมวลสารกำลังจะกลายเป็นหลุมดำ
และจะป้อนวัสดุสารให้กับดาวข้างเคียง
ดาวที่อยู่รอดก็จะกลายเป็นหลุมดำไม่นานหลังจากนั้นด้วย
หลุมดำเหล่านี้จะก่อตัวในเวลาเพียงไม่กี่ล้านปีเท่านั้น แต่หลังจากนั้น
พวกมันจะโคจรอบกันและกันไปอีกหลายพันล้านปีก่อนที่จะชนกัน
ซึ่งจะสร้างคลื่นความโน้มถ่วง(gravitational waves) เป็นระลอกในผืนกาลอวกาศออกมา
ซึ่งน่าจะตรวจจับโดยอุปกรณ์บนโลกได้
Matthew Rickard นักศึกษาปริญญาเอกที่ UCL ผู้เขียนนำการศึกษา กล่าวว่า
ต้องขอบคุณเครื่องตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วง LIGO และ Virgo จึงมีการตรวจจับการควบรวมของหลุมดำหลายสิบคู่ในช่วงไม่กี่ปีหลังนี้
แต่โดยรวมแล้ว
เราก็ยังสำรวจไม่พบดาวที่ถูกทำนายว่าจะยุบตัวกลายเป็นหลุมดำในขนาดนี้
และควบรวมในช่วงเวลาที่สั้นกว่าอายุของเอกภพ
แบบจำลองที่สอดคล้องที่สุดบอกว่าดาวเหล่านี้จะควบรวมกลายเป็นหลุมดำในอีก
1.8 หมื่นล้านปีข้างหน้า
การพบดาวที่อยู่ในกระบวนการวิวัฒนาการเช่นนี้ใกล้กับทางช้างเผือกอย่างมาก
ได้ให้โอกาสอันล้ำค่าแก่เราในการเรียนรู้เพิ่มเติมว่าระบบหลุมดำคู่ก่อตัวได้อย่างไร
Daniel Pauli นักศึกษาปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยพอทชดัม
ผู้เขียนร่วม กล่าวว่า
ดาวคู่นี้เป็นระบบคู่สัมผัสที่มีมวลสูงที่สุดเท่าที่เคยสำรวจพบมา ดาวที่เล็กกว่า,
สว่างกว่าและร้อนกว่า มีมวล 32 เท่า
กำลังสูญเสียมวลให้กับดาวข้างเคียงขนาดใหญ่กว่าที่มีมวล 55 เท่าดวงอาทิตย์
จากการวิเคราะห์สเปคตรัมบอกว่า เปลือกชั้นนอกๆ
ของดาวดวงเล็กกว่าได้ถูกฉีกออกโดยดาวข้างเคียงดวงใหญ่
และยังพบว่ารัศมีของดาวทั้งสองเกินจาก Roche Lobe ซึ่งเป็นพื้นที่รอบๆ
ดาวฤกษ์ดวงหนึ่งที่วัสดุสารจะยึดเหนี่ยวกับดาวฤกษ์ไว้โดยแรงโน้มถ่วง
ซึ่งยืนยันว่าวัสดุสารบางส่วนของดาวดวงเล็กกว่ากำลังหลั่งไหลและขนถ่ายเข้าสู่ดาวข้างเคียง
เมื่อพูดถึงวิวัฒนาการในอนาคตของดาว Rickard
อธิบายว่า
ดาวดวงเล็กกว่าจะกลายเป็นหลุมดำก่อนในเวลาไม่ถึง 7 แสนปี
ซึ่งอาจจะเกิดจากกการระเบิดเป็นซุปเปอร์โนวา
หรือไม่มันก็อาจจะมีมวลสูงเกินจนสามารถยุบตัวกลายเป็นหลุมดำได้โดยตรง และสำหรับดาวข้างเคียงก็น่าจะมีชีวิตอย่างสุขสบายไปราว
3 ล้านปีก่อนที่หลุมดำแรกจะเริ่มสะสมมวลสารจากดาวข้างเคียงเป็นการแก้แค้น
Pauli ซึ่งทำแบบจำลองกล่าวเสริมว่า หลังจากนั้นประมาณ 2
แสนปีเท่านั้น
ดาวข้างเคียงก็จะยุบตัวเป็นหลุมดำตามไปด้วย ดาวมวลสูงทั้งสองจะยังคงโคจรรอบกันและกันต่อไป
ไปอีกหลายพันล้านปี
หลุมดำที่นักดาราศาสตร์ได้พบเห็นการควบรวมในทุกวันนี้ก่อตัวขึ้นเมื่อหลายพันล้านปีก่อน
เมื่อเอกภพมีปริมาณเหล็กและธาตุหนักอื่นๆ ต่ำกว่านี้
สัดส่วนของธาตุหนักเหล่านี้ได้เพิ่มขึ้นเมื่อเอกภพมีอายุมากขึ้น และทำให้การควบรวมของหลุมดำเกิดขึ้นได้น้อยลง
นั้นเป็นเพราะดาวที่มีสัดส่วนธาตุหนักในระดับที่มาก
จะมีลมดวงดาวที่รุนแรงมากและจะฉีกตัวมันเองเป็นชิ้นๆ ในไม่ช้า
เมฆมาเจลลันเล็ก(SMC) ซึ่งถูกศึกษาเป็นอย่างดี อยู่ไกลออกไป 210,000
ปีแสงจากโลก
มีธรรมชาติที่ดั้งเดิมโดยมีปริมาณเหล็กและธาตุหนักอื่นๆ
เพียงหนึ่งในเจ็ดของทางช้างเผือก ด้วยลักษณะนี้
มันจึงเลียนแบบสภาวะของเอกภพในอดีตอันไกลโพ้น
แต่ก็ไม่เหมือนกับกาแลคซีที่ห่างไกลมากซึ่งเก่าแก่มาก
เมื่อพวกมันอยู่ใกล้มากพอที่นักดาราศาสตร์จะตรวจสอบคุณสมบัติของดาวและระบบดาวคู่ทีละแห่งได้
แหล่งข่าว phys.org
- two of most massive touching stars ever found will eventually collide as
black holes, finds study
scitechdaily.com –
star-crossed black holes: the cosmic collision that will shake the universe
No comments:
Post a Comment