ภาพจากศิลปินแสดงดาวเคราะห์ชนิด "พฤหัสร้อน" เป็นดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์ที่มีขนาดพอๆ กับดาวพฤหัสฯ ในระบบสุริยะของเรา แต่โคจรรอบดาวฤกษ์แม่ของพวกมันด้วยวงโคจรที่สั้นกว่า ดาวพุธรอบดวงอาทิตย์ของเรา
พฤหัสร้อน(hot Jupiters) เป็นดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์ที่วิ่งรอบดาวฤกษ์แม่ของพวกมันในวงโคจรที่แนบชิดอย่างมาก
ก็ดูจะเป็นปริศนาน้อยลงต้องขอบคุณการศึกษาใหม่งานหนึ่งซึ่งรวมแบบจำลองทางทฤษฎีกับการสำรวจโดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล
ในขณะที่การศึกษาก่อนหน้านี้เกือบทั้งหมดมุ่งเป้าไปที่พิภพแต่ละแห่งที่ถูกจำแนกเป็น
“พฤหัสร้อน”
เนื่องจากความคล้ายคลึงอย่างมากกับดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์ในระบบสุริยะของเราเอง
แต่การศึกษาใหม่เป็นงานแรกที่มองประชากรพิภพกลุ่มนี้ในมุมที่กว้างขึ้น
งานวิจัยเผยแพร่ใน Nature Astronomy นำโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอริโซนา ได้ให้ “คู่มือสำรวจ”
สู่พฤหัสร้อนในรายละเอียดแก่นักดาราศาสตร์
และยังให้แง่มุมสู่การก่อตัวดาวเคราะห์โดยรวมด้วย
แม้ว่านักดาราศาสตร์จะคิดว่ามีดาวฤกษ์เพียง 1 ใน 10 ดวงที่มีดาวเคราะห์นอกระบบในกลุ่มพฤหัสร้อนอยู่ แต่ก็พบพิภพพิสดารชนิดนี้ในสัดส่วนพอสมควรในบรรดาดาวเคราะห์นอกระบบที่พบจนถึงบัดนี้ เนื่องจากความจริงที่ว่า พวกมันมีขนาดใหญ่กว่าและสว่างกว่าดาวเคราะห์นอกระบบชนิดอื่นๆ อย่างเช่น ดาวเคราะห์หินที่คล้ายโลก หรือดาวเคราะห์ก๊าซขนาดเล็กกว่าและเย็นกว่า ด้วยขนาดตั้งแต่ราวหนึ่งในสามของดาวพฤหัสฯ จนถึง 10 เท่ามวลพฤหัสฯ พฤหัสร้อนทั้งหมดโคจรรอบดาวฤกษ์แม่ของพวกมันในระยะที่ประชิดอย่างมาก โดยปกติจะใกล้กว่าวงโคจรดาวพุธรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่วงในสุดของระบบสุริยะของเราด้วยซ้ำ หนึ่งปีของพฤหัสร้อน ปกติจะยาวนานเพียงหลักชั่วโมง หรืออย่างมากที่สุดก็ไม่กี่วัน เมื่อเปรียบเทียบแล้ว ดาวพุธใช้เวลาเกือบ 3 เดือนเพื่อเดินทางรอบดวงอาทิตย์
เนื่องจากวงโคจรที่ประชิด
จึงคิดว่าพฤหัสร้อนเกือบทั้งหมด(แต่ไม่ทั้งหมด)
ถูกล๊อคไว้ในการโอบกอดความเร็วสูงกับดาวฤกษ์แม่
โดยมีด้านหนึ่งที่หันเข้าอาบรังสีแรงกล้าจากดาวฤกษ์แม่ตลอดกาล และอีกด้านซึ่งปกคลุมด้วยความมืดมิดอันเป็นนิรันดร์
พื้นผิวพฤหัสร้อนทั่วไปอาจจะร้อนได้ถึงเกือบ 3000 องศาเซลเซียส ในขณะที่บางดวงที่ “เย็นกว่า”
ก็ยังสูง 750 องศาเซลเซียส
ร้อนมากพอที่จะหลอมอะลูมินัมได้
งานวิจัยซึ่งนำโดย Megan Mansfield นักวิจัยนาซาที่หอสังเกตการณ์สจ๊วต
มหาวิทยาลัยอริโซนา
ใช้การสำรวจจากกล้องฮับเบิลเพื่อให้ทีมได้ตรวจสอบสเปคตรัมการเปล่งคลื่นจากพฤหัสร้อนได้โดยตรง
แม้ความจริงแล้วฮับเบิลจะไม่สามารถถ่ายภาพดาวเคราะห์เหล่านี้ได้โดยตรงก็ตาม
ระบบเหล่านี้ทั้งดาวฤกษ์แม่และพฤหัสร้อน อยู่ห่างไกลเกินกว่าจะเห็นดาวและดาวเคราะห์ของมันได้เป็นดวงๆ
Mansfield กล่าว
สิ่งที่เราเห็นทั้งหมดเป็นแค่จุดๆ หนึ่ง เป็นแหล่งแสงที่รวมจากทั้งสองส่วน
Mansfield และทีมใช้วิธีการที่เรียกว่า คราสทุติยภูมิ(secondary
eclipsing) เพื่อสกัดข้อมูลจากการสำรวจซึ่งช่วยให้ทีมได้เจาะลึกสู่ชั้นบรรยากาศดาวเคราะห์
และช่วยให้ได้แง่มุมสู่โครงสร้างและองค์ประกอบเคมีของพวกมัน
เทคนิคนี้เกี่ยวข้องกับการสำรวจระบบแห่งเดิมซ้ำๆ จับดาวเคราะห์ในตำแหน่งต่างๆ
ในวงโคจรของมัน ซึ่งรวมถึงเมื่อมันซ่อนอยู่เบื้องหลังดาวฤกษ์แม่ด้วย
โดยปกติเราตรวจสอบแสงที่รวมจากดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ของมัน และเปรียบเทียบการตรวจสอบนั้นกับสิ่งที่เราได้เห็นเมื่อดาวเคราะห์ซ่อนอยู่หลังดาวฤกษ์ Mansfield กล่าว นี่ช่วยให้เราได้ลบแสงจากดาวฤกษ์ออก และแยกแสงที่เปล่งจากดาวเคราะห์ แม้ว่าเราจะมองไม่เห็นพวกมันโดยตรง
ข้อมูลคราสนี้ช่วยให้นักวิจัยได้แง่มุมสู่โครงสร้างความร้อนในชั้นบรรยากาศพฤหัสร้อน
และช่วยให้ทีมได้สร้างคุณสมบัติด้านอุณหภูมิและความดันของดาวเคราะห์แต่ละดวงได้
จากนั้น
ทีมก็วิเคราะห์แสงช่วงอินฟราเรดใกล้ซึ่งเป็นช่วงความยาวคลื่นที่สายตามนุษย์มองไม่เห็น
จากระบบที่มีพฤหัสร้อนเพื่อหาสิ่งที่เรียกว่า รายละเอียดการดูดกลืน(absorption
features) เนื่องจากแต่ละโมเลกุลหรืออะตอม
ก็มีคุณสมบัติการดูดกลืนแสงที่จำเพาะของมันเองเหมือนกับลายนิ้วมือ
ด้วยการมองในช่วงความยาวคลื่นที่แตกต่างจะช่วยให้นักวิจัยได้ข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบเคมีของพฤหัสร้อน
ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีน้ำในชั้นบรรยากาศดาวเคราะห์ มันจะดูดกลืนแสงที่ 1.4 ไมครอน ซึ่งจะอยู่ในช่วงที่ฮับเบิลมองเห็นได้ดี
ด้วยวิธีนี้
เราใช้โมเลกุลเพื่อสแกนทั่วชั้นบรรยากาศของพฤหัสร้อนเหล่านั้น Mansfield กล่าว
เราสามารถใช้สเปคตรัมที่สำรวจได้เพื่อให้ได้ข้อมูลว่ามีอะไรในชั้นบรรยากาศบ้าง
และเรายังได้ข้อมูลว่าชั้นบรรยากาศมีสภาพอย่างไรด้วย
ทีมยังก้าวไปอีกขั้นโดยการกรองข้อมูลจากการสำรวจและเปรียบเทียบมันกับแบบจำลองกระบวนการทางกายภาพที่เชื่อว่าเกิดขึ้นในชั้นบรรยากาศพฤหัสร้อน ข้อมูลทั้งสองส่วนสอดคล้องกันอย่างดีเยี่ยม
ซึ่งยืนยันว่าการทำนายหลายๆ อย่างเกี่ยวกับธรรมชาติของดาวเคราะห์
อันมีพื้นฐานจากงานทางทฤษฎีนั้น ดูจะถูกต้อง Mansfield บอกว่า การค้นพบนี้น่าตื่นเต้นเนื่องจากมันบอกทุกอย่างนอกจากการการันตี
ผลสรุปบอกว่าพฤหัสร้อนทั้งหมด ไม่เพียงแต่ 19
ดวงในการศึกษานี้
น่าจะมีชุดของโมเลกุลที่เหมือนกัน อย่างน้ำและคาร์บอนมอนอกไซด์
พร้อมทั้งโมเลกุลอื่นๆ ในปริมาณที่น้อยกว่า ความแตกต่างของพฤหัสร้อนแต่ละดวง
น่าจะเป็นโมเลกุลต่างๆ เมื่อเปรียบเทียบแล้วมีปริมาณแตกต่างกัน
การค้นพบยังเผยให้เห็นว่ารายละเอียดการดูดกลืนของน้ำที่สำรวจพบ
แปรผันไปเล็กน้อยในพฤหัสร้อนแต่ละดวง
เมื่อรวมๆ เข้าด้วยกันแล้ว
ผลสรุปของเราบอกว่ามีโอกาสที่ดีที่เราจะมีภาพใหญ่ที่บอกได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับเคมีของดาวเคราะห์เหล่านี้
Mansfield กล่าว
ในเวลาเดียวกัน ดาวเคราะห์แต่ละดวงก็มีองค์ประกอบเคมีของมันเอง
และยังส่งผลต่อสิ่งที่เราได้เห็นในการสำรวจด้วย ผู้เขียนบอกว่าผลสรุปที่ได้ยังสามารถใช้เพื่อคาดการณ์ว่านักดาราศาสตร์อาจจะได้เห็นอะไรเมื่อตรวจสอบพฤหัสร้อนสักดวงที่ไม่เคยถูกศึกษามาก่อน
ภาพจากศิลปินปี 2016 แสดงว่าพฤหัสร้อนที่มีอุณหภูมิและองค์ประกอบเคมีที่แตกต่างกัน น่าจะมีลักษณะปรากฏอย่างไร เมื่อนักบินอวกาศมองมันในช่วงกลางวัน
การส่งกล้องโทรทรรศน์เรือธงงานใหม่ของนาซา
คือ กล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์เวบบ์ ซึ่งมีกำหนดในวันที่ 18 ธันวาคม
ทำให้นักล่าดาวเคราะห์นอกระบบตื่นเต้นเนื่องจากกล้องเวบบ์จะสำรวจในแสงอินฟราเรดที่กว้างกว่า
และจะช่วยให้การตรวจสอบดาวเคราะห์นอกระบบซึ่งรวมถึงพฤหัสร้อน เกิดขึ้นในรายละเอียดที่สูงกว่าอย่างมาก
ยังคงมีอะไรอีกมากที่เรายังคงไม่รู้เกี่ยวกับว่าดาวเคราะห์ก่อตัวขึ้นได้อย่างไรโดยรวม และวิธีหนึ่งที่เราพยายามที่จะเข้าใจว่าก่อตัวขึ้นได้อย่างไร ก็คือการตรวจสอบชั้นบรรยากาศของพฤหัสร้อนเหล่านี้ และระบุว่าพวกมันไปอยู่ที่ตำแหน่งปัจจุบันของพวกมันได้อย่างไร Mansfield กล่าว ด้วยข้อมูลจากกล้องฮับเบิล เราได้เห็นแนวโน้มโดยการศึกษาการดูดกลืนจากน้ำ แต่เมื่อเรากำลังพูดถึงองค์ประกอบในชั้นบรรยากาศโดยรวม ก็ยังมีโมเลกุลที่สำคัญอื่นๆ อีกที่คุณอยากจะตรวจสอบเช่น คาร์บอนมอนอกไซด์และคาร์บอนไดออกไซด์ กล้องเวบบ์จะให้โอกาสแก่เราให้ได้สำรวจสิ่งเหล่านั้นด้วยเช่นกัน
แหล่งข่าว spaceref.com
: astronomers provide a field guide to exoplanets known as hot Jupiters
No comments:
Post a Comment