ภาพจากศิลปินแสดงการควบรวมของหลุมดำสองแห่งซึ่งสร้างคลื่นความโน้มถ่วงให้
LIGO และ
Virgo ได้ตรวจพบ
ตลอดหกปีที่ผ่านมา
หอสังเกตการณ์คลื่นความโน้มถ่วงได้ตรวจพบการควบรวมของหลุมดำ
เป็นการยืนยันการทำนายจากทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
แต่ก็ยังมีปัญหาหนึ่งคือ หลุมดำเหล่านี้มีหลายแห่งที่มีขนาดใหญ่อย่างคาดไม่ถึง
ขณะนี้ นักวิจัยทีมหนึ่งจากมหาวิทยาลัยฮาวาย ที่มาเนา, มหาวิทยาลัยชิคาโก
และมหาวิทยาลัยมิชิกัน แอนน์ อาร์เบอร์ ได้เสนอทางออกที่ล้ำหน้าให้กับปัญหานี้
กล่าวคือ หลุมดำเจริญขึ้นตามการขยายตัวของเอกภพ
นับตั้งแต่การสำรวจพบหลุมดำที่ควบรวมกันครั้งแรกโดย
LIGO(Laser Interferometer Gravitational-wave Observatory) ในปี 2015 นักดาราศาสตร์ก็ต้องประหลาดใจซ้ำแล้วซ้ำอีกกับมวลที่สูงของพวกมัน
แม้ว่าหลุมดำจะไม่เปล่งแสงใดๆ แต่การควบรวมของหลุมดำก็สำรวจได้
ผ่านการเปล่งคลื่นความโน้มถ่วงซึ่งเป็นระลอกในผืนกาลอวกาศ
ตามที่ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ได้ทำนายไว้
นักฟิสิกส์เคยคาดว่าหลุมดำน่าจะมีมีมวลไม่ถึง 40 มวลดวงอาทิตย์
เนื่องจากหลุมดำที่ควบรวมกันก่อตัวขึ้นจากดาวฤกษ์มวลสูงที่ไม่สามารถดำรงตัวเองไปได้เมื่อพวกมันมีขนาดใหญ่เกินไป
อย่างไรก็ตาม หอสังเกตการณ์ LIGO และ Virgo ได้พบหลุมดำหลายแห่งที่มีมวลมากกว่า 50 เท่าดวงอาทิตย์
โดยบางแห่งก็มวลสูงถึงระดับร้อยเท่าเลยทีเดียว
ได้มีการเสนอลำดับเหตุการณ์การก่อตัวเพื่อสร้างหลุมดำที่ใหญ่ขนาดนั้น
แต่ก็ไม่มีลำดับเหตุการณ์ใดเลยที่สามารถอธิบายความหลากหลายของการควบรวมหลุมดำที่สำรวจพบได้โดยรวม
และยังมีความเห็นแย้งว่าลำดับเหตุการณ์ก่อตัวแบบผสมผสานเกิดขึ้นได้จริง
การศึกษาใหม่ที่เผยแพร่ใน Astrophysical Journal Letters เป็นงานแรกที่แสดงว่าหลุมดำทั้งที่มวลต่ำและมวลสูง
อาจเป็นผลจากเส้นทางเดียวกัน เมื่อหลุมดำได้มวลเพิ่มจากการขยายตัวของเอกภพนั้นเอง
นักดาราศาสตร์มักจะจำลองหลุมดำในเอกภพที่ไม่ขยายตัว Kevin Croker ศาสตราจารย์ที่แผนกฟิสิกส์และดาราศาสตร์
มหาวิทยาลัยฮาวาย มาเนา กล่าว มันเป็นการสันนิษฐานที่ทำให้สมการของไอน์สไตน์เรียบง่ายไม่ซับซ้อน
เนื่องจากเอกภพที่ไม่เจริญเติบโต ทำให้ไม่มีอะไรต้องจับตาดูมากนัก
และยังมีจารีตที่ว่าการทำนายจะสมเหตุสมผลก็ต่อเมื่อทำในช่วงเวลาที่จำกัดช่วงหนึ่งเท่านั้น
แต่เนื่องจากแต่ละเหตุการณ์ที่ LIGO-Virgo
ได้ตรวจพบนั้นเกิดขึ้นยาวนานเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น
เมื่อทำการวิเคราะห์แต่ละเหตุการณ์แล้ว ความเรียบง่ายก็สมเหตุสมผล
แต่การควบรวมเดียวกันเองเหล่านั้นก็อาจจะใช้เวลาหลายพันล้านปีในการสร้างขึ้นมา
ในระหว่างช่วงเวลาตั้งแต่การก่อตัวของหลุมดำคู่ จนสุดท้ายพวกมันควบรวมกัน
เอกภพได้ขยายตัวไปมากแล้ว ถ้าค่อยๆ เอาทฤษฎีไอน์สไตน์มาใช้ร่วมด้วยอย่างระมัดระวัง
ก็จะเกิดความน่าจะเป็นขึ้นมาเมื่อมวลของหลุมดำน่าจะเจริญขึ้นเป็นสัดส่วนตามเอกภพ
เป็นปรากฏการณ์ประหลาดที่ Croker และทีมเรียกว่า
cosmological coupling
ตัวอย่างที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดของ cosmological
coupling ก็คือ
แสงนั้นเอง ซึ่งสูญเสียพลังงานเมื่อเอกภพขยายตัว เราคิดว่าเกิดผลในทางตรงกันข้าม Duncan
Farrah ศาสตราจารย์สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์
ที่มหาวิทยาลัยฮาวาย มาเนา ผู้เขียนร่วมการวิจัยกล่าว และถ้าสิ่งที่ LIGO-Virgo
สำรวจพบก็อาจเป็นหลุมดำที่เกิด cosmological
coupling และได้รับพลังงานโดยปราศจากการกลืนกินดาวหรือก๊าซใดๆ
ล่ะ
เพื่อศึกษาสมมติฐานนี้
นักวิจัยได้จำลองการเกิด, ชีวิตและการตายของดาวมวลสูงหลายล้านคู่
แต่ละคู่มีดาวทั้งสองดวงตายเพื่อก่อตัวหลุมดำ ซึ่งต่อมาจะเชื่อมโยงกับขนาดของเอกภพ
เริ่มตั้งแต่ที่ดาวตายลง เมื่อเอกภพขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
มวลของหลุมดำเหล่านี้ก็เพิ่มขึ้นเมื่อพวกมันหมุนวนเข้าหากันและกัน
ผลที่ได้ไม่เพียงแค่เป็นหลุมดำที่มีมวลสูงขึ้นเมื่อพวกมันควบรวมกัน
แต่ยังเกิดการควบรวมในอัตราที่สูงขึ้นด้วย
เมื่อนักวิจัยเปรียบเทียบการทำนายกับข้อมูล LIGO-Virgo ก็เห็นถึงความสอดคล้อง Gregory Tarle ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยมิชิกัน
และผู้เขียนร่วม กล่าวว่า ผมคงต้องกล่าวว่าผมไม่รู้เลยว่าจะได้อะไรออกมา
มันก็เป็นแค่แนวคิดพื้นๆ แต่ก็ประหลาดใจที่มันใช้การได้ดี
นักวิจัยบอกว่า
แบบจำลองใหม่นี้มีความสำคัญเนื่องจากมันไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงใดๆ
กับความเข้าใจปัจจุบันเกี่ยวกับการก่อตัว, วิวัฒนาการหรือการตายของดาวเลย
ความสอดคล้องระหว่างแบบจำลองใหม่กับข้อมูลปัจจุบัน
มาจากแค่ระลึกไว้ว่าหลุมดำของจริงนั้นไม่ได้อยู่ในเอกภพที่สถิต อย่างไรก็ตาม
นักวิจัยยังคงกล่าวอย่างเคร่งเครียดว่า ปริศนาหลุมดำขนาดใหญ่จาก LIGO-Virgo
ยังห่างไกลจากการคลี่คลาย
ยังไม่ทราบรายละเอียดหลายอย่างเกี่ยวกับหลุมดำที่กำลังควบรวม
เช่น สภาพแวดล้อมการก่อตัวหลักๆ
และกระบวนการทางกายภาพที่แท้จริงที่เกิดขึ้นตลอดช่วงเวลาของพวกมัน Michael
Zevin นักวิจัยและผู้เขียนร่วม
กล่าว ในขณะที่เราใช้การจำลองประชากรดาวเพื่อสะท้อนข้อมูลที่เรามีอยู่ในตอนนนี้
แต่ก็ยังมีช่องว่างอีกกว้างใหญ่ เราจะเห็นว่า cosmological coupling เป็นแนวคิดที่มีประโยชน์
แต่เราก็ยังไม่สามารถตรวจสอบความแรงของการพ่วงนี้ได้
Kurtis Nishimura ศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์และดาราศาสตร์ ที่มาเนา
ผู้เขียนร่วมการวิจัยแสดงความเห็นถึงการทดสอบแนวคิดอันล้ำนี้ในอนาคตว่า
เมื่อหอสังเกตการณ์คลื่นความโน้มถ่วงยังคงปรับปรุงความไวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในช่วงทศวรรษหน้า ข้อมูลที่มีปริมาณและคุณภาพเพิ่มขึ้นจะช่วยให้เกิดเทคนิคการวิเคราะห์ใหม่ๆ
ได้ การพ่วงนี้ก็จะได้รับการตรวจสอบในไม่ช้า
แหล่งข่าว phys.org
: new study proposes expansion of the universe directly impacts black hole
growth
No comments:
Post a Comment