การศึกษาใหม่งานหนึ่งได้แสดงว่าดาวมวลสูงที่ถูกดึงมวลสารออกก่อนหน้าแล้วระเบิดเป็นซุปเปอร์โนวา สามารถชักนำไปสู่การก่อตัวดาวนิวตรอนมวลสูง หรือหลุมดำมวลเบาได้ ไขปัญหาท้าทายที่สุดข้อหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการตรวจจับการควบรวมของดาวนิวตรอนจากหอสังเกตการณ์คลื่นความโน้มถ่วง LIGO และ Virgo
การตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วงโดย LIGO(Advanced
Laser Interferometer Gravitational-wave Observatory) ในปี 2017 เป็นคลื่นที่มาจากการควบรวมดาวนิวตรอน
ซึ่งได้สร้างความประหลาดใจเกินความคาดหมายให้กับนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์
แต่การตรวจจับคลื่นจากการควบรวมชนิดนี้ได้เป็นครั้งที่ 2 ในปี 2019 เป็นการควบรวมของดาวนิวตรอนสองดวงซึ่งมวลรวมที่ได้สูงจนคาดไม่ถึง
Enrico Ramirez-Ruiz ศาสตราจารย์ด้านดาราศาสตร์และดาราศาสตร์ฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยคาลิฟอร์เนีย(UC)
ซานตาครูซ กล่าวว่า
มันยังทำให้ช๊อคอย่างมากจนเราต้องเริ่มคิดว่าจะสร้างดาวนิวตรอนหนักได้อย่างไร
โดยไม่ทำให้มันกลายเป็นพัลซาร์
(pulsar)
วัตถุกะทัดรัดทางดาราศาสตร์ฟิสิกส์อย่างดาวนิวตรอนและหลุมดำ
กำลังเป็นสิ่งที่ท้าทายในการศึกษาเนื่องจากเรามักจะมองไม่เห็นพวกมันในสภาพเสถียร
ซึ่งพวกมันจะไม่เปล่งรังสีใดๆ ให้ตรวจจับได้เลย
นี่หมายความว่าเรากำลังเกิดความลำเอียงกับสิ่งที่เราสำรวจพบหรือไม่ Ramirez-Ruiz อธิบาย
เราตรวจพบระบบดาวนิวตรอนคู่ในกาแลคซีของเรา เมื่อหนึ่งในนั้นเป็นพัลซาร์
และมวลของพัลซาร์เหล่านั้นก็แทบจะเหมือนๆ กันทั้งหมด
เรามองไม่เห็นดาวนิวตรอนหนักใดๆ เลย
การตรวจสอบการควบรวมของดาวนิวตรอนหนักโดย LIGO
ในอัตราที่ใกล้เคียงกับระบบที่มวลเบากว่า
บอกเป็นนัยว่าคู่ดาวนิวตรอนหนักก็น่าจะมีอยู่ค่อนข้างทั่วไปด้วยเหมือนกัน
ดังนั้นเพราะเหตุใด พวกมันจึงไม่ปรากฏให้เห็นในประชากรพัลซาร์
ในการศึกษาใหม่นี้ Ramirez-Ruiz และเพื่อนร่วมงานมุ่งเป้าไปที่ซุปเปอร์โนวาของดาวฤกษ์ที่เปลือย(stripped
star) ในระบบดาวคู่
ซึ่งสามารถก่อตัว “วัตถุกะทัดรัดคู่” ที่ประกอบด้วยดาวนิวตรอนสองดวง
หรือไม่ก็ดาวนิวตรอน 1 กับหลุมดำอีกหนึ่ง
ดาวที่เปลือยซึ่งก็เรียกอีกชื่อว่า ดาวฮีเลียม(helium star) เป็นดาวฤกษ์ที่ชั้นไฮโดรเจนที่ห่อหุ้มของมัน
ถูกดึงออกโดยปฏิสัมพันธ์กับดาวข้างเคียง การศึกษาซึ่งเผยแพร่วันที่ 8 ตุลาคม ใน Astrophysical Journal Letters นำโดย Alejandro Vigna-Gomez นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ที่สถาบันนีล บอห์ร
มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ซึ่ง Ramirez-Ruizดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์นีล บอห์ร(Niels
Bohr Professorship) อยู่
เราใช้แบบจำลองดาวในรายละเอียดเพื่อติดตามวิวัฒนาการดาวที่เปลือย
จนถึงช่วงเวลาที่มันระเบิดกลายเป็นซุปเปอร์โนวา Vigna-Gomez กล่าว เมื่อเราถึงช่วงเวลาซุปเปอร์โนวา
เราก็ทำการศึกษาอุทกพลศาสตร์(hydrodynamics) ซึ่งเราสนใจที่จะตามรอยวิวัฒนาการก๊าซที่กำลังระเบิดออกมา
ดาวที่เปลือยในระบบดาวคู่กับดาวนิวตรอน เริ่มต้นด้วยมวล
10 เท่ามวลดวงอาทิตย์
แต่หนาแน่นสูงมากจนพวกมันมีเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่าดวงอาทิตย์
ขั้นตอนสุดท้ายในวิวัฒนาการจะเป็นซุปเปอร์โนวาแบบแกนกลางยุบตัว(core-collapse
supernova) ซึ่งเหลือทิ้งไว้เป็นดาวนิวตรอนหรือหลุมดำ
ขึ้นอยู่กับมวลสุดท้ายของแกนกลางนั้น ผลสรุปของทีมได้แสดงว่าเมื่อดาวเปลือยมวลสูงระเบิดออก
ชั้นส่วนนอกบางส่วนของมันจะถูกผลักออกจากระบบคู่ไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม
ชั้นก๊าซส่วนในบางส่วนไม่ได้ถูกผลักออกและสุดท้ายก็ตกกลับสู่วัตถุกะทัดรัดที่เพิ่งก่อตัวขึ้นใหม่
GW190425(c) สุดท้าย ดาวเปลือยมวลสูงยิ่งขึ้นไปอีกจะนำไปสู่ระบบคู่ดาวนิวตรอน-หลุมดำ อย่าง GW200115(d)
ปริมาณของวัสดุสารที่สะสมได้ขึ้นอยู่กับพลังงานการระเบิด
ยิ่งพลังงานสูงเท่าใด ก็ยิ่งเหลือมวลให้น้อยลงด้วย Vigna-Gomez กล่าว สำหรับดาวเปลือยมวล 10 เท่าดวงอาทิตย์ของเรา ถ้าพลังงานการระเบิดต่ำ
มันจะก่อตัวหลุมดำขึ้นมา แต่ถ้าพลังงานการระเบิดสูง
ก็จะเหลือมวลให้น้อยลงและก่อตัวดาวนิวตรอนขึ้นมา
ผลสรุปเหล่านี้ไม่เพียงแต่อธิบายการก่อตัวของระบบคู่ดาวนิวตรอนหนัก
อย่างเช่นระบบคู่ที่เผยตัวในเหตุการณ์คลื่นความโน้มถ่วง GW190425 แต่ยังทำนายการก่อตัวของระบบคู่ดาวนิวตรอน-หลุมดำเบา อย่างเช่นระบบแห่งหนึ่งที่ควบรวมในปี 2020
เป็น GW200115 ด้วย
การค้นพบที่สำคัญอีกอย่างก็คือ
มวลของแกนฮีเลียมของดาวที่เปลือยเป็นสิ่งจำเป็นในการกำกับธรรมชาติของปฏิสัมพันธ์กับดาวนิวตรอนข้างเคียงของมัน
และชะตากรรมสุดท้ายของระบบคู่เหล่านี้
ดาวฮีเลียมที่มีมวลสูงพอจะป้องกันการดึงมวลสารเข้าสู่ดาวนิวตรอนได้ อย่างไรก็ตาม
ถ้ามีดาวฮีเลียมที่มีมวลต่ำกว่า
กระบวนการดึงมวลสารจะเปลี่ยนดาวนิวตรอนให้มีความเร็วสูงกลายเป็นพัลซาร์ที่หมุนรอบตัวเร็ว
Ramirez-Ruiz อธิบายว่า
เมื่อแกนกลางฮีเลียมมีขนาดเล็ก มันจะขยายตัว
และจากนั้นการดึงมวลสารก็ทำให้ดาวนิวตรอนหมุนรอบตัวเร็วขึ้นกลายเป็นพัลซาร์
อย่างไรก็ตาม ดาวฮีเลียมมวลสูงจะมีแรงโน้มถ่วงในตัวมากกว่าและไม่ขยายตัว
จึงไม่เกิดการถ่ายเทมวล และถ้าพวกมันไม่ได้หมุนรอบตัวเร็วจนกลายเป็นพัลซาร์ เราก็ไม่เห็นพวกมัน
พูดอีกอย่างก็คือ
อาจจะมีประชากรระบบคู่ดาวนิวตรอนหนักที่ยังตรวจไม่พบอีกมากในกาแลคซีของเรา Vigna-Gomez
กล่าวว่า
การถ่ายเทมวลเข้าสู่ดาวนิวตรอนเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพในการสร้างพัลซาร์ที่หมุนรอบตัวเร็วมาก(หรือเรียกว่า
พัลซาร์เสี้ยววินาที; millisecond pulsars) ถ้าป้องกันการถ่ายเทมวลนี้ได้ตามที่เราบอกไว้
ก็จะมีประชากรระบบที่ไม่ส่งวิทยุออกมาอย่างนี้หลบอยู่ในทางช้างเผือก
spaceref.com : astrophysicists explain the origin of unusually heavy neutron star binaries
No comments:
Post a Comment