นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอิสระแห่งบาร์เซโลนา และมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน ได้เสนอการใช้ความแปรผันระยะทางระหว่างโลกกับดวงจันทร์ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้แม่นยำในระยะไม่ถึงเซนติเมตร เพื่อเป็นเครื่องตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วงชนิดใหม่ภายใต้ช่วงความถี่ที่อุปกรณ์ปัจจุบันไม่สามารถตรวจจับได้ งานวิจัยอาจจะถางทางใหม่สู่การตรวจจับสัญญาณจากเอกภพยุคต้น เผยแพร่ใน Physical Review Letters
คลื่นความโน้มถ่วง(gravitational waves) ซึ่งอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
ได้ทำนายไว้ในช่วงเริ่มศตวรรษที่ 20 และตรวจจับได้เป็นครั้งแรกในปี
2015 เป็นผู้นำสารชนิดใหม่จากกระบวนการที่รุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในเอกภพ
เครื่องตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วงตรวจสอบในช่วงความถี่ที่ต่างกัน คล้ายกับการหมุนปุ่มเพื่อจูนหาสถานีวิทยุ
อย่างไรก็ตาม ก็มีความถี่ที่เป็นไปไม่ได้ที่จะครอบคลุมด้วยเครื่องมือปัจจุบัน
และอาจจะมีสัญญาณพื้นฐานเพื่อให้เข้าใจเอกภพ
ตัวอย่างพิเศษอย่างหนึ่งที่สามารถเห็นได้ในช่วงไมโครเฮิร์ตซ์
ซึ่งน่าจะถูกสร้างขึ้นในช่วงอรุณรุ่งแห่งเอกภพ
และมองไม่เห็นในทางปฏิบัติแม้แต่กับเทคโนโลจีที่ก้าวหน้าที่สุดที่มีในปัจจุบัน
จากแบบจำลองเอกภพวิทยามาตรฐาน ช่วงเวลาแรกๆ
ของบิ๊กแบง เอกภพมีการขยายตัวที่เร็วมากแต่เกิดเป็นเวลาที่สั้นมากๆ ที่เรียกว่าการพองตัวของเอกภพช่วงต้น(early
cosmic inflation) ทฤษฎีการพองตัวนี้ใช้เพื่อตอบคำถามให้กับปัญหาหลายอย่างเกี่ยวกับบิ๊กแบง
แต่เราไม่เคยพิสูจน์การพองตัวได้เลย คลื่นความโน้มถ่วงช่วงไมโครเฮิร์ตซ์จึงอาจจะเป็นคำตอบ
เมื่อทางทฤษฎีแล้ว การพองตัวของเอกภพช่วงต้นน่าจะสร้างคลื่นไมโครเฮิร์ตซ์ไปทั่วเอกภพ
เอกภพน่าจะสั่นสะเทือนด้วยคลื่นชนิดนี้
เหมือนกับเสียงสะท้อนกลับจากระฆังที่แผ่วเบา
ในบทความที่เพิ่งเผยแพร่ในวารสาร Physical
Review Letters นักวิจัย Diego
Blas จากแผนกฟิสิกส์
UAB และสถาบันเพื่อฟิสิกส์พลังงานสูง(IFAE)
และ Alexander Jenkins จาก UCL ได้ระบุว่าก็มีเครื่องตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วงในธรรมชาติอยู่สภาพแวดล้อมไม่ไกลนัก
คือ ระบบโลก-ดวงจันทร์
คลื่นความโน้มถ่วงชนกับระบบนี้อย่างคงที่ได้สร้างความแปรผันน้อยนิดในวงโคจรดวงจันทร์
แม้ว่าความแปรผันจะน้อยมาก แต่ Blas และ Jenkins วางแผนที่จะใช้ประโยชน์จากความจริงที่ว่าเราทราบตำแหน่งที่แน่นอนของดวงจันทร์ในระดับความคลาดเคลื่อนถึงหน่วยเซนติเมตร
ต้องขอบคุณการใช้เลเซอร์ที่ส่งจากหอสังเกตการณ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อสะท้อนจากกระจกที่ติดตั้งบนพื้นผิวดวงจันทร์โดยปฏิบัติการอพอลโลและอื่นๆ
ความแม่นยำที่ไม่น่าเชื่อโดยมีระดับความคลาดเคลื่อนหนึ่งในหนึ่งพันล้านส่วน
จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ตรวจจับการรบกวนเล็กน้อยที่เกิดจากคลื่นความโน้มถ่วงโบราณได้
วงโคจรของดวงอาทิตย์ซึ่งยาวราว 28 วันซึ่งเทียบแล้วจะมีความไวเป็นพิเศษในช่วงไมโครเฮิร์ตซ์
ซึ่งเป็นช่วงความถี่ที่นักวิจัยกำลังสนใจกัน
ในขณะเดียวกัน
พวกเขายังได้เสนอให้ใช้ข้อมูลระบบดาวคู่แห่งอื่นในเอกภพ
ก็อาจเป็นเครื่องตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วงได้ โดยเฉพาะกรณีระบบคู่ที่มีพัลซาร์ที่กระจายอยู่ทั่วกาแลคซี
เป็นระบบที่ลำคลื่นจากพัลซาร์ช่วยให้ทราบการหมุนรอบตัวของดาวเหล่านี้ด้วยความแม่นยำที่สูงมากๆ(ในระดับหนึ่งในล้านส่วน)
จากวงโคจรในระดับหลายสัปดาห์
จะไวต่อคลื่นความโน้มถ่วงที่ผ่านไปในช่วงความถี่ไมโครเฮิร์ตซ์เป็นพิเศษ Blas
และ Jenkins สรุปว่าระบบเหล่านี้น่าจะมีศักยภาพเป็นเครื่องตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วงชนิดเหล่านี้ได้
ด้วยเครื่องตรวจจับที่มีในธรรมชาติเหล่านี้ในช่วงความถี่ไมโครเฮิร์ตซ์ Blas
และ Jenkins ก็สามารถเสนอการศึกษาคลื่นโน้มถ่วงรูปแบบใหม่
ซึ่งเปล่งจากเอกภพอันไกลโพ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
คลื่นที่เกิดขึ้นได้จากการแปรสภาพในสถานะพลังงานสูงในเอกภพยุคต้น
ซึ่งเห็นได้ทั่วไปในแบบจำลองหลายงาน
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดบางทีอาจจะเป็นว่าวิธีการนี้เมื่อใช้ควบกับปฏิบัติการของนาซา/อีซา ในอนาคตอย่าง LISA และหอสังเกตการณ์ที่มีส่วนร่วมในโครงการ SKA(Square
Kilometer Array) เพื่อบรรลุเกือบครอบคลุมคลื่นความโนมถ่วงทั้งหมดตั้งแต่
นาโนเฮิร์ตซ์(SKA) จนถึง
เซนติเฮิร์ตซ์(LIGO/Virgo) การครอบคลุมมีความสำคัญอย่างยิ่งในการได้ภาพวิวัฒนาการเอกภพที่แม่นยำเช่นเดียวกับ
องค์ประกอบของมัน Blas อธิบาย การรวมช่วงไมโครเฮิร์ตซืมีความท้าทายซึ่งขณะนี้อาจจะเข้าถึงได้โดยไม่จำเป็นต้องสร้างเครื่องตรวจจับใหม่
และทำแค่เพียงสำรวจวงโคจรของระบบที่เราก็รู้จักดีอยู่แล้ว ความเชื่อมโยงระหว่างมุมมองพื้นฐานของเอกภพ
กับวัตถุทางกายภาพ นั้นน่าทึ่งเป็นพิเศษและสามารถนำไปสู่การตรวจจับสัญญาณเริ่มแรกสุดที่เราเคยเห็นมา
และจะเปลี่ยนสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับอวกาศได้
universetoday.com : astronomers could detect gravitational waves by tracking the Moon’s orbit around the Earth
No comments:
Post a Comment