ภาพว่าที่กาแลคซีที่ห่างไกลที่สุด HD1 ปรากฏเป็นวัตถุสีแดงในใจกลางภาพซูม
นักดาราศาสตร์อาจจะได้พบกาแลคซีที่ห่างไกลที่สุดเท่าที่เคยพบมา
ในรายงานสองฉบับที่โพสบนเวบก่อนตีพิมพ์ arXiv
ใน arXiv Yuichi Harikane จากมหาวิทยาลัยโตเกียวและทีมนานาชาติได้รายงานการตรวจสอบแหล่งแสง
2 แหล่งที่ดูเหมือนจะส่องสว่างจากช่วงเวลาเพียง
330 ล้านปีหลังจากบิ๊กแบงเท่านั้น(หรือไกลออกไป
13.5 พันล้านปีแสง)
ซึ่งเทียบเท่ากับเรดชิพท์ 13 การศึกษาเหล่านี้นำเสนอเพื่อเผยแพร่แต่ยังไม่ผ่านการทบทวนโดยผู้รู้เสมอกัน(peer-reviewed; พิชญพิจารณ์) และล่าสุดก็เผยแพร่วันที่ 7 เมษายน ใน Astrophysical Journal และ Monthly Notices of the Royal
Astronomical Society Letters
เคยมีการพบกาแลคซีจำนวนหนึ่งในช่วงไม่กี่ร้อยล้านแรกของเอกภพ
ผู้ยึดครองสถิติปัจจุบันซึ่งมีการตรวจสอบอย่างรัดกุมคือ GN-z11 ซึ่งประกาศโดย Pascal Oesch ขณะนี้สังกัดมหาวิทยาลัยเจนีวา
และเพื่อนร่วมงานในปี 2016 GN-z11 มีเรดชิพท์ที่
11 ซึ่งหมายความว่าเราพบเห็นมันอย่างที่มันเป็น
420 ล้านปีหลังจากกำเนิดเอกภพ
การค้นพบอื่นๆ ซึ่งชัดเจนน้อยกว่า บอกว่ากาแลคซีในช่วงเวลาดังกล่าวมีดาวที่ค่อนข้างเต็มวัยแล้ว
บอกว่าดาวเริ่มสาดแสงภายในเอกภพมาตั้งแต่ช่วง 3 ร้อยล้านปีแรก
แม้ว่ากาแลคซีใหม่ทั้งสองแห่งจะอยู่ที่ระยะห่างไกลดังกล่าวจริง
พวกมันก็น่าจะยังไม่ใช่ประชากรกาแลคซีแห่งแรกๆ Harikane กล่าว อ้างอิงจากความสว่างของพวกมัน
กาแลคซีอาจจะมีมวลสูงอย่างน้อย 1 พันล้านเท่ามวลดวงอาทิตย์
ใกล้เคียงกับเมฆมาเจลลัน และใหญ่เกินกว่าจะเป็นกาแลคซีรุ่นแรกสุด
เราคิดว่าพวกมันพัฒนาขึ้นจากกาแลคซีขนาดเล็กกว่า เขากล่าว
กาแลคซีแห่งแรกๆ เป็นก้าวใหม่ของเอกภพ
ดาวของพวกมันสร้างธาตุที่หนัก(เช่น คาร์บอนและออกซิเจน)
มากกว่าธาตุสามัญที่สุดที่ถูกสร้างจากเตาดึกดำบรรพ์(หมายถึงบิ๊กแบง)
และหลุมดำของพวกมันก็เจริญจนมีขนาดใหญ่โตอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ในใจกลางกาแลคซีมวลสูงเกือบทุกแห่งที่พบ หลุมดำมวลมหาศาลเหล่านี้มีปริศนาในตัวเอง
นักวิทยาศาสตร์ได้พบพวกมันย้อนไปถึง 1 พันล้านปีหลังบิ๊กแบง
แต่ตัวอย่างยุคต้นๆ เหล่านั้นก็มีขนาดใหญ่กว่าที่คาดไว้อย่างมาก คือในระดับ 1
พันล้านเท่ามวลดวงอาทิตย์แล้ว
ซึ่งยากที่จะอธิบายว่าความใหญ่โตเช่นนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรในเวลาเพียงพันล้านปีแรก
การค้นหากาแลคซีแห่งแรกๆ(และหลุมดำของพวกมัน)
และระบุว่าพวกมันมีสภาพอย่างไรเมื่อก่อตัวขึ้นจะช่วยนักดาราศาสตร์ให้ไขปริศนานี้ได้
เมื่อมีข้อสงสัยเหล่านี้อยู่ในใจ ทีมของ Harikane
จึงมองหากาแลคซียุคต้นในคลังภาพจากความร่วมมือของกล้องโทรทรรศน์ภาคพื้นดินและอวกาศ
ซึ่งครอบคลุมช่วงความยาวคลื่นตาเห็นและอินฟราเรด
พวกเขาตามล่าหากาแลคซีที่ตรวจพบในช่วงความยาวคลื่น(อินฟราเรด)
ที่ยาวที่สุดแดงที่สุดแต่ไม่เห็นในช่วงที่สั้นกว่าและในช่วงตาเห็น(เรียกว่า dropout)
นั้นเป็นเพราะโฟตอนที่มีความยาวคลื่นสั้น(ในช่วงสีฟ้า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโฟตอนที่สั้นกว่า 91.2 นาโนเมตร)
จะถูกดูดกลืนได้ง่ายด้วยไฮโดรเจนเป็นกลาง
ทั้งที่อาจจะอยู่ในกาแลคซีเองหรือในเมฆที่อยู่ระหว่างเรากับมัน
นี่สร้างสิ่งที่เรียกว่า ไลแมนเบรค(Lyman break) ในสเปคตรัมของกาแลคซี เมื่อเอกภพขยายตัว
กาแลคซีจะอยู่ห่างไกลออกไปและแสงของมันก็จะถูกยืดออกสู่ช่วงที่มีสีแดงมากขึ้นเรื่อยๆ
และตัวระบุใน
สเปคตรัมก็เลื่อนไปทางสีแดงตามไปด้วย
แสงที่เดินทางมาถึงเราจากกาแลคซีนี้จึงบอกเราได้คร่าวๆ
ว่าแสงเกิดเรดชิพท์มากแค่ไหน
และจึงบอกได้ว่าพวกเรากำลังมองย้อนเวลาในอวกาศกลับไปไกลแค่ไหน
หลังจากค้นหาภาพด้วยทั้งสายตามนุษย์และคอมพิวเตอร์
ทีมก็พบว่าที่กาแลคซี 2 แห่งที่เรียกว่า
HD1 และ HD2
จริงๆ แล้วนักดาราศาสตร์รู้จัก HD1
แล้ว
แต่จัดมันไปอยู่ในกาแลคซีที่ใกล้กว่า จากนั้น ทีมก็ตรวจสอบ HD1 ด้วย ALMA เพื่อดูว่าตรวจสอบเรดชิพท์วัตถุได้อย่างแม่นยำหรือไม่
ซึ่งจะช่วยยืนยันเทคนิค ALMA ได้พบ
“ร่องรอย” บอกถึงเส้นสเปคตรัมออกซิเจนไอออนไนซ์ที่เกิดเรดชิพท์อย่างรุนแรง
ถ้าร่องรอยนั้นเป็นจริง เส้นออกซิเจนไอออนไนซ์จะยืนยันว่า HD1 มีเรดชิพท์ 13.27 และเราก็ได้กาแลคซีที่ย้อนเวลากลับไปได้ไกลที่สุดเท่าที่เคยแล้ว
แต่ถ้าเส้นสเปคตรัมไม่ใช่อย่างที่เห็น HD1 และ HD2
ก็น่าจะอยู่ใกล้เข้ามาอีกมากกว่า 1
พันล้านปี Oesch กล่าวว่า แหล่งเหล่านี้น่าสนใจอย่างมาก
แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจ 100% กับธรรมชาติที่เรดชิพท์สูงมากของพวกมัน
เนื่องจากกาแลคซีทั้งสองสว่างมากกว่าที่คาดไว้สำหรับกาแลคซีที่ก่อตัวดาวปกติอย่างว่าที่กาแลคซีแห่งอื่นๆ
ที่พบในยุคดังกล่าว รวมถึง GN-z11 ด้วย
ในรายงานข้างเคียงกับรายงานการค้นพบนี้ Fabio Pacucci จากศูนย์เพื่อดาราศาสตร์ฟิสิกส์(CfA)
ฮาร์วาร์ดสมิธโซเนียน, Harikane และเพื่อนร่วมงานคนอื่นได้ให้เหตุผลที่เป็นไปได้สำหรับกำลังสว่างที่มาก
โดยบอกว่าอาจเป็นผลร่วมจากการก่อตัวดาวอย่างคึกคักกับหลุมดำที่ตะกละตะกลาม
อาจจะทำให้ทั้ง HD1 และ HD2
มีกำลังสว่างที่สูงจนน่าประหลาดใจ
ผลจากอย่างใดอย่างหนึ่งก็ทำให้เกิดการแผ่รังสีรุนแรงได้ แต่ก็ยากมากที่จะบรรลุถึง
HD1 ยังสว่างในช่วงยูวี
ซึ่งโดยปกติเป็นหลักฐานว่ากาแลคซีกำลังก่อตัวดาวด้วยอัตราที่สูงมาก
แต่นักวิจัยก็ตระหนักอย่างรวดเร็วว่าแม้ถ้า HD1 เป็นกาแลคซีที่ก่อตัวอย่างบ้าคลั่ง(starburst
galaxy) จริง
มันก็น่าจะก่อตัวดาวมากกว่าหนึ่งร้อยดวงในแต่ละปี
ซึ่งสูงกว่าที่เราคาดไว้จากกาแลคซีเหล่านี้อย่างน้อย 10 เท่า Pacucci กล่าว ดังนั้น
ทีมจึงต้องหาความเป็นไปได้อื่นที่อาจอธิบายยูวีที่สูงจาก HD1
คำอธิบายที่เป็นไปได้สำหรับยูวีที่รุนแรงของ HD1
ก็คือ
ดาวในกาแลคซีแห่งนี้กำลังถูกสร้างแตกต่างจากดาวที่สร้างในกาแลคซีรุ่นใหม่
ทุกวันนี้ ดาวประกอบด้วยวัสดุสารรีไซเคิลที่ผลักออกจากดาวรุ่นก่อนหน้านั้น ดังนั้น
ดาวทุกดวงจึงมีธาตุหนักอยู่บ้างแม้จะเล็กน้อยมากๆ
แต่ในเอกภพยุคต้นไม่นานหลังจากบิ๊กแบง
ก๊าซดึกดำบรรพ์ที่เป็นไฮโดรเจนและฮีเลียมล้วนๆ ดาวดวงแรกๆ
ที่ก่อตัวขึ้นมาซึ่งเรียกว่า ประชากรดาวกลุ่ม 3(Population III stars) พวกมันจะมีมวลสูงกว่า, สว่างไสวกว่า
และร้อนกว่าดาวในยุคปัจจุบัน
ปัญหาเดียวที่มีก็คือ ประชากรดาวกลุ่ม 3 เป็นเพียงกลุ่มในทางทฤษฎี เนื่องจากพวกมันใช้เวลาอย่างรวดเร็วมากเพียงไม่กี่ล้านปี จึงหมายความว่าไม่มีหลักฐานทางตรงใดๆ ให้พบเห็นเลย แต่การค้นพบล่าสุดกับดาวที่เก่าแก่มาก เออาเรนเดล(Earendel) ก็อาจจะเป็นกลุ่ม 3 ได้ถ้าการศึกษาติดตามผลองค์ประกอบดาวดวงนี้ พบว่ามันมีแต่ไฮโดรเจนและฮีเลียมล้วนๆ
นอกจากคำอธิบายเรื่องประชากรดาวกลุ่ม 3 แล้ว การมีหลุมดำมวลมหาศาลแห่งหนึ่งที่มีมวล 1 ร้อยล้านเท่าดวงอาทิตย์ ก็อาจจะอธิบายความสว่างช่วงยูวีของกาแลคซีนี้ได้ด้วยเช่นกัน ถ้าเป็นกรณีหลัง หลุมดำมวลมหาศาลแห่งนี้ก็จะเป็นหลุมดำที่เก่าแกที่สุดเท่าที่เคยพบมา ทำลายสถิติก่อนหน้านี้ไปประมาณ 5 ร้อยล้านปี Pacucci กล่าวว่า การตอบคำถามเกี่ยวกับธรรมชาติของแหล่งไกลโพ้นนี้เป็นเรื่องท้าทาย มันก็เหมือนกับการเดาสัญชาติของเรือจากธงที่สะบัดโบกอยู่เมื่อยังห่างไกลจากฝั่งมาก ท่ามกลางกระแสน้ำและกลุ่มหมอกหนา ใครสักคนอาจจะมองเห็นสีและรูปร่างบางส่วนของธงได้บ้าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
ถ้านักวิจัยยืนยันว่า HD1 และ HD2 เป็นกาแลคซียุคต้นจริง
วัตถุเหล่านี้ก็อาจจะกำลังบอกเราว่าการก่อตัวดาวในเอกภพยุคต้นเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
พวกมันยังอาจจะเปิดช่องว่าหลุมดำมวลมหาศาลแห่งแรกๆ ก่อตัวและเจริญได้อย่างไร
แต่ถ้าปรากฏว่าพวกมันมาจากยุคหลังกว่า
ก็น่าจะเพิ่มหลักฐานว่ามีกาแลคซีมากมายที่หลุดรอดการตรวจจับเนื่องจากพวกมันถูกปกคลุมด้วยฝุ่น
ซึ่งทำให้ดูมืดเกินและแดงจัดเกินกว่าที่กล้องฮับเบิลจะพบได้
ไม่ว่าธรรมชาติของวัตถุเหล่านี้จะเป็นแบบใด พวกมันก็น่าสนใจ Oesch กล่าว
ทีมได้เวลาการสำรวจจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์เวบบ์แล้ว ซึ่งจะตรวจสอบสเปคตรัมของ
HD1 และ HD2
และว่าที่แห่งที่สามด้วย
สำหรับกล้องเวบบ์ซึ่งขึ้นสู่อวกาศเมื่อช่วงคริสตมาสปีที่แล้ว
กำลังปรับแต่งระบบทัศนศาสตร์ รวมถึงการเทียบมาตรฐาน(calibrate) อุปกรณ์อื่นๆ
ซึ่งจะมีงานอีกหลายร้อยอย่างที่ต้องทำในช่วงกระบวนการทดสอบการทำงาน(commissioning)
รวมถึงทำให้เครื่องตรวจจับเย็นตัวลงจนถึงอุณหภูมิเหนือศูนย์องศาสัมบูรณ์เพียงเล็กน้อย
และแต่ละงานก็มีความสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าเวบบ์จะบรรลุถึงเป้าหมายทางวิทยาศาสตร์
เป้าหมายหนึ่งก็คือ การตรวจจับกาแลคซีแห่งแรกๆ สุด
ซึ่งต้องมีการวางแผนและสร้างทฤษฎีมากมายเพื่อเตรียมการให้หอสังเกตการณ์
Harikane และกลุ่มความร่วมมือได้จองเวลาการสำรวจของกล้องเวบบ์เพื่อเก็บสเปคตรัม
HD1, HD2 และว่าที่อีกกาแลคซีหนึ่ง
ในฤดูร้อนนี้ เวบบ์จะเริ่มสำรวจหากาแลคซีในเอกภพอันไกลโพ้น
ซึ่งเป็นกุญแจในการไขความลับวิวัฒนาการกาแลคซีและความเป็นมาของเอกภพ
พวกเขาประเมินว่ากล้องเวบบ์และกล้องโทรทรรศน์อวกาศอื่นๆ
ที่วางแผนไว้น่าจะร่วมกันพบกาแลคซีมากกว่าหนึ่งหมื่นแห่งในยุคต้นของเอกภพนี้
แหล่งข่าว skyandtelescope.com
: are these the most distant galaxies yet seen?
phys.org : scientists
have spotted the farthest galaxy ever
space.com : astronomers
spot most distant galaxy yet at 13.5 billion light-years away
No comments:
Post a Comment