ดาวที่ตายแล้วดวงหนึ่งกำลังหมุนรอบตัวเร็วมากๆ จนมันมีอัตราการหมุนรอบตัวที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยพบในดาวชนิดที่ตายแล้วนี้อย่างเป็นทางการ
มันเป็นดาวแคระขาว ซึ่งมีชื่อว่า LAMOST
J0240+1952 อยู่ห่างออกไป 2015
ปีแสง
และมีอัตราการหมุนรอบตัวที่หลุดโลกที่ 25 วินาที
ซึ่งโค่นผู้ยึดครองสถิติก่อนหน้านี้ CTCV J2056-3014 ซึ่งมีอัตราการหมุน 29 วินาทีลง
มันยังมีความคล้ายคลึงกับดาวแคระขาวเร็วอีกดวงคือ AE Aquarii ซึ่งมีอัตราการหมุนที่ 33 วินาที
แต่ J0240+1952 และ AE Aquarii มีความพิเศษอย่างสุดขั้ว
เมื่อพวกมันเป็นดาวเพียงสองดวงที่เราเคยพบมาในกลุ่มของดาวแคระขาวที่เรียกกันว่า magnetic
propeller star แต่ละดวงมีดาวข้างเคียงในระบบคู่เป็นดาวฤกษ์วิถีหลัก(main
sequence; ดาวฤกษ์ที่กำลังหลอมไฮโดรเจน)
ซึ่งพวกมันจะดึงก๊าซร้อนออกมา จากนั้นก๊าซร้อนหรือพลาสมาเหล่านี้จะถูกสาดออกสู่อวกาศโดยสนามแม่เหล็กของดาวแคระขาว
เป็นเหมือนกระแสของน้ำที่ออกมาจากใบพัด(propeller)
สำหรับ J0240+1952 นั้นมีความสุดขั้วมาก
เมื่อพลาสมาของมันถูกยิงออกมาด้วยความเร็ว 3000 กิโลเมตรต่อวินาที Ingrid Pelisoli นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยวอร์วิค
สหราชอาณาจักร กล่าวว่า J0240+1952 จะหมุนรอบตัวไปหลายรอบในช่วงเวลาที่คุณใช้เวลาอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับมัน
นี่ไม่น่าเชื่อจริงๆ
อัตราการหมุนรอบตัวยังเร็วมากจนดาวแคระขาวจะต้องมีมวลเหนือระดับเฉลี่ย
เพื่อที่จะยึดเกาะตัวเองได้โดยไม่ฉีกออก
มันกำลังดึงวัสดุสารออกจากดาวข้างเคียงด้วยแรงโน้มถ่วง
แต่เมื่อเข้าใกล้ดาวแคระขาวมากขึ้น สนามแม่เหล็กก็เริ่มมีบทบาทสำคัญ
ก๊าซชนิดนี้(พลาสมาคือก๊าซที่มีประจุ) จะถูกเหนี่ยวนำและเพิ่มความเร็วขึ้นจากกระบวนการนี้
ซึ่งจะผลักมันออกจากดาวออกสู่อวกาศ
ดาวแคระขาวเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อดาวฤกษ์อย่างดวงอาทิตย์หมดเชื้อเพลิงที่ใช้หลอมในแกนกลางลง มันจะผลักเปลือกก๊าซส่วนนอกออกสู่อวกาศ และแกนกลางจะยุบตัวลงกลายเป็นวัตถุที่หนาแน่นสูง ซึ่งส่องสว่างด้วยความร้อนที่ยังเหลืออยู่ ดาว”ตาย” แล้วเหล่านี้ในทางกายภาพแล้วจะมีขนาดเล็กมาก พอๆ กับโลก แต่มีมวลอัดแน่นได้ถึง 1.4 เท่ามวลดวงอาทิตย์
ดาวแคระขาวมักจะมีดาวข้างเคียงในระบบคู่ในวงโคจรประชิด
ซึ่งอาจอยู่ใกล้อย่างมากจนพวกมันสูบหรือสะสมมวลสารออกจากดาวข้างเคียงได้
เกิดการปะทุเป็นช่วงเวลาเมื่อวัสดุสารที่สะสมไว้ทำให้เกิดการหลอมไฮโดรเจนแบบกู่ไม่กลับในชั้นบรรยากาศดาวแคระขาว
เป็นสาเหตุให้เกิดการแปรแสงสว่าง ซึ่งจะเรียกว่า ดาวแปรแสงหายนะ(cataclysmic
variable stars) ซึ่งสุดท้าย
ดาวแคระขาวอาจจะสะสมมวลไว้มากจนเกินไปจนมันเริ่มไม่เสถียรและระเบิดเป็นซุปเปอร์โนวาชนิดหนึ่งเอ(Type
Ia supernova)
J0240+1952 เองก็เป็นดาวแปรแสงหายนะ
และในอดีตมันก็กลืนมวลสารจากดาวข้างเคียงที่เป็นแคระแดงไปเพียงพอที่จะทำให้มันเร่งความเร็วหมุนรอบตัวได้สูงมาก
แต่จากนั้น
มันก็เริ่มสร้างสนามแม่เหล็กขึ้น(ซึ่งนักดาราศาสตร์คิดว่าอัตราการหมุนรอบตัวที่เพิ่มสูงขึ้นจากดาวแคระขาวที่กำลังสะสมมวลสาร
น่าจะสร้างไดนาโมภายในได้แต่ก็ยังไม่แน่ชัด)
สนามแม่เหล็กนี้เองที่ทำหน้าที่เป็นม่านกั้นผลักพลาสมาที่ไหลเข้ามา
สาดพลาสมาเกือบทั้งหมดออกสู่อวกาศ อย่างไรก็ตาม
ก็จะมีพลาสมาจำนวนน้อยที่ยังตกไปถึงดาวแคระขาวได้ ซึ่งมันจะไหลไปสู่ขั้วแม่เหล็กของดาว
เป็นสาเหตุให้เกิดจุดที่เรืองสว่างบนพื้นผิว
และเมื่อจุดเหล่านี้หมุนเข้าและออกจากแนวสายตาของเราก็ทำให้เกิดการแปรแสง ที่ช่วยให้นักดาราศาสตร์ตรวจสอบอัตราการหมุนรอบตัวของดาวได้
ส่วนการหมุนรอบตัวของ AE Aquarii กำลังช้าลงด้วยอัตราที่สูงผิดปกติ
และนักวิจัยก็อยากจะดูว่าระบบทั้งสองจะมีพฤติกรรมเหมือนกันหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น
ก็จะบอกเราได้ไม่น้อยเกี่ยวกับระบบที่พบได้ยากและน่าทึ่งเหล่านี้ Tom Marsh
นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยวอร์วิค
กล่าวว่า นี่เป็นเพียงครั้งที่สองเท่านั้นที่เราได้พบหนึ่งในระบบขับดันด้วยแม่เหล็กเหล่านี้
ขณะนี้เราได้ทราบว่ามันไม่ใช่เรื่องอัตลักษณ์เฉพาะแต่อย่างไร
กลไกการขับดันแม่เหล็กดูจะเป็นคุณสมบัติโดยทั่วไปที่เกิดขึ้นในระบบคู่เหล่านี้
ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่เหมาะสม
การค้นพบ(แห่ง)
ที่สองนี้แทบจะมีความสำคัญพอๆ กับแห่งแรก
เพื่อคุณได้สร้างแบบจำลองขึ้นสำหรับแห่งแรก
และกับแห่งที่สองคุณก็สามารถทดสอบได้ถ้าแบบจำลองใช้การได้หรือไม่
การค้นพบล่าสุดได้แสดงว่าแบบจำลองนี้ใช้การได้ค่อนข้างดี
มันทำนายว่าดาวจะต้องหมุนรอบตัวเร็วมาก และก็เป็นอย่างนั้นจริง งานวิจัยเผยแพร่ใน Monthly
Notices of the Royal Astronomical Society: Letters วันที่ 22 พฤศจิกายน
scitechdaily.com : high-speed propeller star is fastest spinning white dwarf – it’s the size of Earth, but 200,000 times more massive
No comments:
Post a Comment