กาแลคซีอันโดรเมดาจากดาวเทียม
WISE(Wide-field Infrared Survey Explorer)
เมื่อกาแลคซีสองแห่งชนกัน หลุมดำมวลมหาศาล(supermassive
black holes) ในแกนกลางของพวกมันก็จะสร้างแรงผลักโน้มถ่วงซึ่งคล้ายกับการถีบเมื่อยิงปืนพกสั้น
งานวิจัยใหม่ที่นำโดยมหาวิทยาลัยโคโลราโด โบลเดอร์ ได้บอกว่า
การผลักนี้อาจจะทรงพลังอย่างมากจนมันสามารถผลักดาวนับล้านดวงให้ไปอยู่ในวงโคจรที่แปลกประหลาดได้
งานวิจัยซึ่งเผยแพร่วันที่ 29 ตุลาคม ใน Astrophysical Journal Letters ได้ช่วยไขปริศนาที่มีอายุนับสิบปีเกี่ยวกับกระจุกดาวรูปร่างประหลาดตาที่ในใจกลางของกาแลคซีอันโดรเมดา(Andromeda)
กาแลคซีกังหันเพื่อนบ้านที่อยู่ห่างออกไป
2.5 ล้านปีแสงจากโลก
มันอาจจะยังช่วยนักวิจัยให้เข้าใจกระบวนการที่กาแลคซีเจริญเติบโตโดยการกลืนกาแลคซีแห่งอื่นๆ
ให้ดีขึ้นด้วย Ann-Marie Madigan นักวิทยาศาสตร์ที่
JILA ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยร่วมระหว่างซียู
โบลเดอร์ กับสถาบันเพื่อมาตรฐานและเทคโนโลจีแห่งชาติ(NIST) กล่าวว่า เมื่อนักวิทยาศาสตร์มองดูอันโดรเมดา
ก็คาดว่าจะได้เห็นหลุมดำมวลมหาศาลที่ล้อมรอบด้วยกระจุกดาวที่ค่อนข้างสมมาตร
แต่พวกเขากลับพบกระจุกที่เรียวกองไปด้านหนึ่งแทน ขณะนี้
เธอและเพื่อนร่วงานคิดว่าพวกเขามีคำอธิบายแล้ว
ในช่วงทศวรรษ 1970 นักวิทยาศาสตร์ได้ส่งบอลลูนลอยสูงขึ้นไปในชั้นบรรยากาศโลกเพื่อมองอันโดรเมดาในช่วงอุลตราไวโอเลต
กล้องฮับเบิลก็ติดตามผลการสำรวจริเริ่มเหล่านั้นในช่วงทศวรรษ 1990 และได้นำส่งการค้นพบที่น่าประหลาดใจ
กาแลคซีอันโดรเมดาก็เหมือนกับทางช้างเผือกของเรา
มันมีรูปร่างเหมือนกังหันขนาดยักษ์
แต่พื้นที่ที่อุดมไปด้วยดาวใกล้กับใจกลางของกังหัน กลับดูไม่เป็นอย่างที่ควรเป็น
กล่าวคือ วงโคจรของดาวเหล่านี้มีรูปร่างรีไข่ที่ประหลาด
ราวกับใครสักคนไปยืดฟากหนึ่งออก
ภาพกาแลคซีอันโดรเมดา
แสดงแกนกลางที่เป็นดิสก์รอบหลุมดำมวลมหาศาล ภาพขวาบนจาก WFC2 แสดงเหมือน M31 มีแกนกลางสองแห่ง แต่นักดาราศาสตร์คิดว่ามีเพียงแกนเดียว
แต่กลุ่มสว่าง 2 จุดที่เห็นแท้จริงแล้วเป็นวงแหวนดาวฤกษ์สีแดง
และดิสก์ของดาวสีฟ้าอายุน้อย ซึ่งฝังตัวอยู่ในวงแหวนดาวสีแดงขนาดใหญ่กว่าอีกที
และไม่มีใครทราบว่าเป็นเพราะอะไร Madigan
กล่าว
นักวิทยาศาสตร์เรียกรูปแบบเหล่านั้นว่า ดิสก์นิวเคลียสทรงรี(eccentric
nuclear disk) ในการศึกษาใหม่
ทีมใช้แบบจำลองเสมือนจริงคอมพิวเตอร์เพื่อตามรอยสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลุมดำมวลมหาศาลสองแห่งชนเข้าด้วยกัน
อันโดรเมดาน่าจะก่อตัวขึ้นจากการควบรวมคล้ายๆ กันเมื่อหลายพันล้านปีก่อน
จากการคำนวณของทีม
การควบรวมได้สร้างแรงที่สามารถบิดและดึงวงโคจรของดาวใกล้ใจกลางกาแลคซีได้
สร้างเป็นรูปแบบที่เรียวยาว
เมื่อกาแลคซีควบรวมกัน
หลุมดำมวลมหาศาลของพวกมันก็จะเข้ามาใกล้กันและต่อมาก็กลายเป็นหลุมดำเดี่ยวแห่งเดียว
Tatsuya Akiba ผู้เขียนนำการศึกษา
และนักศึกษาสาขาดาราศาสตร์ฟิสิกส์ กล่าว เราต้องการจะทราบว่า
แล้วผลที่ตามมาเป็นอย่างไร เขากล่าวเพิ่มว่าการค้นพบของทีมช่วยเผยให้เห็นถึงแรงบางอย่างที่อาจจะขับเคลื่อนความหลากหลายของกาแลคซีราว
2 ล้านล้านแห่งในเอกภพทุกวันนี้
บางส่วนก็มีรูปร่างเป็นกังหันเหมือนทางช้างเผือก แต่บางส่วนก็ดูคล้ายลูก(อเมริกัน)
ฟุตบอล หรือก้อนรูปร่างประหลาด
การควบรวมอาจจะมีบทบาทสำคัญในการปรับแต่งรูปร่างของดาว
Akiba บอกว่าเมื่อกาแลคซีชนกัน
หลุมดำที่ใจกลางก็อาจจะเริ่มหมุนวนรอบกันและกัน เคลื่อนที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งพวกมันชนกัน ในกระบวนการนี้ พวกมันจะเปล่งคลื่นความโน้มถ่วง
(gravitational
waves) ระลอกมหึมาออกมา
คลื่นความโน้มถ่วงเหล่านั้นจะพาโมเมนตัมออกมาจากหลุมดำที่เหลืออยู่
และคุณก็จะได้แรงกระดอนกลับ(recoil) เหมือนกับการถีบของปืนสั้น
เขาและ Madigan ต้องการจะทราบว่าการกระดอนกลับลักษณะนั้นส่งผลต่อดาวภายในระยะทาง
1 พาร์เซค(3.26
ปีแสง หรือราว 30 ล้านล้านกิโลเมตร) ในใจกลางกาแลคซีอย่างไร
อันโดรเมดาซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจากโลก มีความกว้างหลายหมื่นพาร์เซคจากฟากหนึ่งสู่อีกฟากหนึ่ง
ทั้งคู่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อสร้างแบบจำลองใจกลางกาแลคซีปลอมที่มีดาวหลายร้อยดวง
จากนั้นก็ผลักหลุมดำในใจกลาง เพื่อจำลองการกระดอนกลับจากคลื่นความโน้มถ่วง
Madigan อธิบายว่าคลื่นความโน้มถ่วงที่สร้างจากการชน(ของหลุมดำ)
ไม่ได้ส่งผลต่อดาวในกาแลคซีโดยตรง
แต่การกระดอนกลับจะเหวี่ยงหลุมดำมวลมหาศาลที่เหลืออยู่ด้วยความเร็วถึงหลายล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมง
ถือว่าเยอะสำหรับวัตถุที่มีมวลหลายล้านจนถึงหลายพันล้านเท่ามวลดวงอาทิตย์
ถ้าคุณเป็นหลุมดำมวลมหาศาล
และคุณเริ่มเคลื่อนที่ด้วยความเร็วหลายพันกิโลเมตรต่อวินาที
คุณก็อาจจะหนีออกจากกาแลคซีต้นสังกัดได้เลย Madigan กล่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อหลุมดำไม่สามารถหนีออกมา
ทีมได้พบว่าพวกมันอาจจะสร้างความวุ่นวายโดยดึงวงโคจรของดาวฤกษ์ที่อยู่รอบๆ
เป็นสาเหตุให้วงโคจรเหล่านั้นเริ่มยืดออกมา
ผลที่ได้ก็จะดูคล้ายกับรูปร่างที่นักวิทยาศาสตร์พบเห็นในใจกลางอันโดรเมดาอยู่ไม่น้อย
Madigan และ Akiba
บอกว่าพวกเขาต้องการจะขยายแบบจำลองเสมือนจริง
เพื่อที่จะสามารถเปรียบเทียบแบบจำลองกับแกนกลางกาแลคซีของจริงได้โดยตรง
ซึ่งมีดาวอยู่มากกว่านั้นหลายเท่าตัว
พวกเขาบอกว่าการค้นพบอาจจะช่วยนักวิทยาศาสตร์ให้เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่ปกติกับวัตถุต่างๆ
ในเอกภพ เช่น ดาวเคราะห์ที่โคจรรอบวัตถุพิศวงอย่าง ดาวนิวตรอน แนวคิดก็คือ
ถ้าคุณอยู่ในวงโคจรรอบวัตถุที่ใจกลางดวงหนึ่ง และวัตถุนั้นจู่ๆ ก็หนีออกไป ก็สามารถลดขนาดลงเพื่อตรวจสอบระบบที่แตกต่างได้จำนวนมาก
Madigan กล่าว
แหล่งข่าว Colorado.edu
: gravitational “kick” may explain the strange shape at the
center of Andromeda
sciencealert.com : there’s a weird shape in
the middle of Andromeda, and astronomers finally know why
No comments:
Post a Comment