ทีมนักวิจัยจากเจอรมนี, ฝรั่งเศส
และสหราชอาณาจักร ได้ค้นพบเส้นใยก๊าซหนาทึบที่เรียวบาง
เชื่อมโยงแขนกังหันสองแห่งของทางช้างเผือกไว้ ในรายงานที่เผยแพร่ใน Astrophysical
Journal Letters ทีมได้อธิบายงานซึ่งศึกษาก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ในทางช้างเผือก
เรามองเห็นกาแลคซีกังหันแห่งอื่นๆ
อีกมากมายได้ดีกว่ากาแลคซีบ้านของเรา และจากสิ่งนี้
นักดาราศาสตร์ได้สร้างอนุกรมวิธานโครงสร้างที่ผุดออกจากแขนกังหัน ตั้งแต่ กิ่ง(branches),
เสี้ยนสะเก็ด(splinters), ขนแผงแบบขนนก(feathers) ขึ้นอยู่กับมุมหรือรูปร่างของมัน ในงานวิจัยใหม่
นักวิจัยได้พบรายละเอียดที่เรียกว่า ขนแผง ซึ่งเป็นเส้นใยก๊าซยาวที่มีเงี่ยง(barbs) ซึ่งเมื่อมองจากโลกแล้วก็เหมือนขนนก
แต่เนื่องจากมันยากมากๆ ที่จะศึกษาทางช้างเผือกจากมุมมองของโลก
จึงไม่เคยพบเห็นรายละเอียดลักษณะนี้มาก่อนจนกระทั่งบัดนี้
ในงานของพวกเขา นักวิจัยศึกษาความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ในข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์
APEX ในซานเปโดร เดอ
อะตาคามา ในชิลี พวกเขาสังเกตเห็นความเข้มข้นสูงซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน
และหลังจากตรวจสอบอย่างใกล้ชิดมากขึ้นก็พบว่า
มันเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มก๊าซขนาดใหญ่ที่แผ่จากส่วนใกล้ใจกลางกาแลคซีออกมาข้างนอก
เชื่อมโยงแขนกังหัน 2 แห่งคือแขนไม้ฉาก(Norma
Arm) และ
แขนสามกิโลพาร์เซค(3 kpc arm) ซึ่งเป็นแขนกังหันที่อยู่วงในสุดเท่าที่เคยพบมา
นักวิจัยเรียกการก่อตัวนี้ว่า คลื่นกังโกตรี(Gangotri
wave) เพื่ออุทิศให้กับธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ในชื่อเดียวกัน
ซึ่งน้ำที่ละลายเป็นต้นน้ำให้กับแม่น้ำคงคา(Ganges river; ภาษาอินเดียเรียก Ganga) ในอินเดียทางช้างเผือกรู้จักกันว่าชื่อว่า
อากาศคงคา(Akash Ganga) ขนนกที่เพิ่งค้นพบใหม่มีความยาว
6000 ถึง 13000
ปีแสง เชื่อมโยงสองแขนกังหัน
และอยู่ที่ระยะทาง 17000 ปีแสงจากใจกลางกาแลคซี
ยังประเมินมวลก๊าซเทียบเท่ากับ 9 ล้านเท่ามวลดวงอาทิตย์
ก่อนการค้นพบใหม่นี้
เส้นใยก๊าซทั้งหมดที่พบในทางช้างเผือกเรียงตัวอยู่แค่ภายในแขนกังหันเท่านั้น
เส้นทางของกังโกตรีตรวจสอบโดยตามรอยคาร์บอนมอนอกไซด์ทั่วท้องฟ้า
ซึ่งได้ทำในโครงการสำรวจท้องฟ้าหลายงานแล้ว
แต่มีมวลของกังโกตรีเพียงน้อยนิดที่เป็นคาร์บอนมอนอกไซด์ และเมื่อใช้ คาร์บอน-13
ที่ใช้เพื่อตามรอยความเร็วก็ยิ่งมีปริมาณน้อยลงไปอีก
แต่ก๊าซทำหน้าที่เป็นตัวตามรอยให้กับก๊าซที่มีมากแต่ตรวจสอบได้ยากอย่างไฮโดรเจนและฮีเลียม
นักวิจัยพบว่าคลื่นกังโกตรียังมีรายละเอียดที่เป็นอัตลักษณ์และน่าสนใจอีกเมื่อมันไม่ได้ยืดตรงอย่างที่คาดไว้
แต่กลับหยักไปมาตามแนวยาวของมัน ในรูปแบบที่เรียกว่า คลื่นซายน์(sine wave)
นักวิจัยไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ประหลาดนี้ได้แต่บอกไว้ว่าจะต้องมีแรงบางชนิดที่กระทำ
เป็นแรงที่น่าจะเป็นจุดสนใจในงานวิจัยต่อๆ ไป
ทีมวางแผนจะศึกษาก๊าซในทางช้างเผือกต่อไป
คราวนี้มุ่งเป้าเพื่อมองหารายละเอียดใหม่ๆ
ความสามารถในการตามรอยการเคลื่อนที่ของดาวและตำแหน่งของเมฆก๊าซที่เพิ่มขึ้น
ได้เผยให้เห็นบางิส่งเกี่ยวกับกาแลคซีขนาดเล็กกว่าที่ถูกผนวกเข้าสู่ทางช้างเผือก
เมื่อไม่นานมานี้ นักดาราศาสตร์ได้เผยให้เห็นแขนกังหันพิเศษของทางช้างเผือก(Cattail;
ผู้แปล) และมีเสี้ยนสะเก็ด หรือ ติ่ง(spur) แห่งหนึ่งที่งอกจากแขนคนยิงธนู(Sagittarius
arm) ซึ่งมีวัตถุที่สวยงามทางดาราศาสตร์อย่าง
เนบิวลาอินทรี(Eagle Nebula), เนบิวลาโอเมกา(Omega
Nebula),
เนบิวลาสามแฉก(Trifid Nebula)
และเนบิวลาลากูน(Lagoon Nebula)
แหล่งข่าว phys.org
: “Gangotri wave” connecting two of Milky Way’s spiral
arms discovered
iflscience.com : first
known “feather” connecting two of the Milky Way’s
spiral arms discovered
No comments:
Post a Comment