มีอะไรอยู่ในดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์บ้าง จริงๆ
คือมันยากจะบอกว่ามีอะไรอยู่ในดาวพฤหัสฯ และดาวเสาร์
แต่ระบบวงแหวนที่ตระการตาและยิ่งใหญ่ของดาวเสาร์ ก็กำลังเป็นเครื่องมือชั้นดีที่ใช้ตรวจสอบความหนาแน่นภายใต้ชั้นเมฆหนาทึบของมัน
ลึกลงไปได้ลงถึงแกนกลาง
จากการวิเคราะห์ “การส่าย”
ของวงแหวนหลักส่วนในสุดของดาวเสาร์ครั้งใหม่
แกนกลางดาวเคราะห์น่าจะไม่ใช่ลูกบอลนิกเกิลและเหล็กอย่างที่คิดไว้
แต่เป็นพื้นที่ที่พร่าเลือนของไฮโดรเจนและฮีเลียมเกือบทั้งหมด
โดยมีธาตุหนักผสมอยู่บ้าง แกนกลางแผ่ออกไปถึง 60% ของรัศมีดาวเคราะห์
และประกอบด้วยมวลน้ำแข็งและหินราว 17 เท่ามวลโลก
การค้นพบซึ่งเผยแพร่ในเวบก่อนตีพิมพ์ arXiv และรอพิชญพิจารณ์(peer review) นั้นใกล้เคียงกับการค้นพบล่าสุดเกี่ยวกับภายในของดาวพฤหัสฯ
ที่มีพื้นฐานจากข้อมูลของยานจูโน
และมันก็น่าจะเปลี่ยนข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับโครงสร้างช่วงต้นและประวัติการก่อตัวของดาวเสาร์ไปเลย
แล้วเราเรียนรู้สิ่งนั้นจากวงแหวนดาวเสาร์ได้อย่างไร
ทั้งหมดนั่นเกี่ยวข้องกับวิธีที่ดาวเสาร์ส่ายเอวซึ่งเป็นผลจากสนามแรงโน้มถ่วงภายนอกของดาวเคราะห์
คลื่นเสียง(acoustic waves) และการสั่น(oscillations)
ภายในวัตถุนั้นเป็นเครื่องมือที่ปราดเปรื่องในการตรวจสอบโครงสร้างภายใน
ซึ่งเราก็ทำแบบนี้บนโลก เมื่อแผ่นดินไหวส่งคลื่นเดียวกันนี้ผ่านดาวเคราะห์
คลื่นเหล่านี้สะท้อนไปรอบๆ อย่างไร จะเผยให้เห็นความหนาแน่นที่แตกต่าง
ช่วยให้เราได้จำแนกโครงสร้างที่เราไม่เคยคิดฝันว่าจะได้เห็นมาก่อน
บนดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์อื่นๆ คลื่นเสียงภายในก็เปลี่ยนแปลงไปเมื่อมีความสว่างเปลี่ยนแปลงด้วย
บนดาวเสาร์ไม่มีที่ให้ติดตั้งไซสโมมิเตอร์(seismometer)
และมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความสว่างด้วย
แต่เมื่อไม่กี่ปีก่อนนี้เอง นักวิทยาศาสตร์สังเกตเห็นรูปแบบสัญญาณของวงแหวนซี(C
ring) ของดาวเสาร์
ซึ่งเป็นวงแหวนที่อยู่ส่วนในสุดของระบบวงแหวนหลัก จากสิ่งนั้น
พวกเขาสรุปว่ารูปแบบไม่น่าจะเกิดขึ้นจากดวงจันทร์ดาวเสาร์เหมือนอย่างรูปแบบที่ปรากฏในวงแหวนส่วนนอก
แต่ดูจะเกิดขึ้นจากการสั่นที่อยู่ลึกภายในดาวเคราะห์เอง
ซึ่งส่งผลต่อสนามแรงโน้มถ่วง
นั้นจึงเป็นกำเนิดของ kronoseismology
เป็นการศึกษาภายในของดาวเสาร์โดยการวิเคราะห์คลื่นเหล่านี้ที่ปรากฏในวงแหวนซี
ขณะนี้ นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ Christopher Mankovich และ Jim Fuller จากสถาบันเทคโนโลจีแห่งคาลิฟอร์เนีย(Caltech)
ได้ทำการวิเคราะห์คลื่นในวงแหวนซีใหม่อีกครั้ง
ซึ่งมันมีความถี่ต่ำกว่าที่คาดไว้จากแบบจำลองภายในดาวเสาร์ที่มีบอกไว้
พวกเขาพบว่ารูปแบบความถี่นี้บอกถึงองค์ประกอบภายในของดาวเสาร์ที่ผิดจากที่คาดไว้อย่างสิ้นเชิง
แบบจำลองของเราระบุถึงมวลและขนาดของแกนกลางธาตุหนักของดาวเสาร์
แม้แต่ธรรมชาติที่พร่าเลือนของแกนกลางนี้ ได้อย่างไม่ลังเลมากกว่าแบบจำลองเดิม
พวกเขาเขียนไว้ในรายงาน
จากแบบจำลองใหม่
พวกเขาบอกว่ามวลของแกนกลางอยู่ที่ราว 55 เท่ามวลโลก
โดยมีหินและน้ำแข็งรวมอยู่ 17 เท่ามวลโลกด้วย
ส่วนที่เหลือก็น่าจะเป็นไฮโดรเจนและฮีเลียมเกือบทั้งหมด
แกนกลางทั้งก้อนนี้ไม่มีการแบ่งชั้นอย่างชัดเจนและค่อยๆ ผสมกลืนกัน
แทนที่จะเกิดการแบ่งชั้นอย่างเข้มงวดซึ่งจะมีธาตุที่หนักกว่ากระจุกตัวอยู่ในส่วนกลางมากกว่า
สิ่งนี้ได้สร้างความท้าทายให้กับแบบจำลองการก่อตัวดาวเคราะห์
คิดกันว่าดาวเคราะห์ก่อตัวขึ้นจากแบบจำลองการสะสมมวล ซึ่งจะมีขนาดจากเล็กไปใหญ่
ซึ่งก้อนหินขนาดเล็กจะมีการดึงดูดเข้าหากันด้วยไฟฟ้าสถิต จนกระทั่งเกิดเมล็ดพันธุ์ดาวเคราะห์ขึ้นมาซึ่งมีขนาดใหญ่มากพอที่จะมีแรงโน้มถ่วงภายในตัวมันเอง
ซึ่งจะยิ่งดึงดูดวัสดุสารอื่นๆ มากขึ้น ซึ่งต่อมาก็ก่อตัวเป็นดาวเคราะห์ได้
สำหรับดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์อย่างดาวพฤหัสฯ
และดาวเสาร์ คิดกันว่าวัสดุสารที่หนักกว่าจะจมลงสู่ใจกลาง ก่อตัวเป็นแกนของแข็ง
และปล่อยให้ก๊าซที่มีความหนาแน่นต่ำลอยออกสู่พื้นที่ส่วนนอก
แต่แบบจำลองล่าสุดบอกถึงการกระจายของวัสดุสารที่เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า
หรือเป็นไปได้กระทั่งว่ามีการผสมแบบการพา เป็นสาเหตุให้เกิดการกระจายแบบค่อยเป็นค่อยไปมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ แกนกลางที่พร่าเลือนจึงท้าทายแบบจำลองเส้นทางการก่อตัวแกน
และก็เป็นไปได้ว่าจะต้องมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนเพิ่มขึ้นมาเพื่อให้เข้าใจว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม การศึกษาใหม่มีพื้นฐานจากการศึกษาคลื่นในวงแหวนซี ถ้ามี kronoseismology
จากส่วนอื่นเพิ่มเติมขึ้นมาก็น่าจะช่วยชี้ชัดการแปลผลแกนกลางดาวเสาร์ที่พร่าเลือนนี้ได้
นอกจากนี้
แบบจำลองเสมือนจริงจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอบกินส์
ยังได้ให้แง่มุมที่น่าสนใจสู่ภายในของดาวเสาร์ ดาวเสาร์มีความแปลกประหลาดจากดาวเคราะห์อื่นๆ
ในระบบสุริยะเนื่องจากสนามแม่เหล็กของมันดูเหมือนจะเรียงตัวอย่างสมมาตรเกือบสมบูรณ์แบบรอบๆ
แกนการหมุนรอบตัว(เอียงจากแกนการหมุนเพียง 0.007 องศา)
การตรวจสอบสนามแม่เหล็กในรายละเอียดซึ่งได้จากวงโคจรเที่ยวท้ายๆ
ของยานคาสสินี(Cassini) ได้ให้โอกาสในการเข้าใจภายในเบื้องลึกของดาวเคราะห์ให้ดีขึ้น
ซึ่งเป็นส่วนที่สร้างสนามแม่เหล็กขึ้นมา Chi Yan ผู้เขียนนำ ว่าที่ดอกเตอร์จากจอห์น ฮอบกินส์
กล่าว
การวิเคราะห์ข้อมูลที่บอกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นภายในก็อาจช่วยเราให้เข้าใจว่าดาวเสาร์มีความเป็นมาอย่างไร
Sabine Stanley นักฟิสิกส์ดาวเคราะห์จากจอห์น
ฮอบกินส์ เช่นกัน กล่าวว่า ด้วยการศึกษาว่าดาวเสาร์ก่อตัวอย่างไร
และมันพัฒนาอย่างไร
เราก็สามารถเรียนรู้ได้มากมายเกี่ยวกับการก่อตัวของดาวเคราะห์อื่นๆ
ที่คล้ายกับดาวเสาร์ภายในระบบสุริยะของเราเอง และข้างนอกนั้น
สนามแม่เหล็กของดาวเคราะห์(มัก)
จะถูกสร้างขึ้นภายในดาวเคราะห์ โดยบางสิ่งที่เรียกว่า ไดนาโม(dynamo) ซึ่งเป็นของไหลที่นำไฟฟ้ามีการหมุนวนและการพา
ซึ่งเปลี่ยนพลังงานจลน์ให้กลายเป็นพลังแม่เหล็ก สร้างสนามแม่เหล็กออกสู่อวกาศ และเนื่องจากสนามแม่เหล็กดาวเสาร์ถูกตรวจสอบโดยคาสสินีเป็นอย่างดี
ทีมจอห์น ฮอบกินส์
จึงใช้มันเพื่อย้อนกระบวนการดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในภายในที่เป็นปริศนาของดาวเสาร์
ด้วยการป้อนข้อมูลที่คาสสินีรวบรวมได้ใส่แบบจำลองเสมือนจริงคอมพิวเตอร์ที่มักใช้ในการศึกษาสภาพอากาศและภูมิอากาศ
Yan และ Stanley ได้ศึกษาว่าเพื่อที่จะสร้างไดนาโม ดาวเสาร์จะมีองค์ประกอบอย่างไร
สิ่งหนึ่งที่เราได้พบก็คือแบบจำลองนี้มีความไวต่อสิ่งที่จำเพาะมากๆ อย่างอุณหภูมิ
เช่นไร Stanley กล่าว
และนั้นก็หมายความว่าเราสามารถตรวจสอบภายในเบื้องลึกของดาวเสาร์ได้จนถึงระดับ 2
หมื่นกิโลเมตรลงไปซึ่งน่าสนใจมากๆ
ทีมได้พบว่าแบบจำลองภายในของดาวเสาร์ที่สอดคล้องกับข้อมูลการสำรวจมากที่สุด
จะแบ่งเป็น 4 ชั้น
แกนกลางส่วนในเป็นของแข็งหรืออาจจะเป็นของไหลแยกชั้น(stratified fluid) โดยปราศจากการพา(convection) มีหินและน้ำแข็งรอบและแผ่ออกไปถึงระยะประมาณหนึ่งในสี่รัศมี
ต่อมาจึงเป็นแกนกลางส่วนนอกที่มีการพา โดยเป็นไฮโดรเจนโลหะ(metallic
hydrogen) และฮีเลียมที่ละลายอยู่
เป็นชั้นที่น่าจะสร้างไดนาโม อุณหภูมิและความดันสูงมากๆ
จนชั้นนี้อยู่ในสถานะที่ไม่ปกติที่เรียกว่าของไหลวิกฤติยิ่งยวด(supercritical
fluid) ซึ่งไม่ได้เป็นทั้งของเหลวหรือก๊าซ
มีขนาดถึง 42% รัศมีดาวเสาร์
แบบจำลองโครงสร้างภายในดาวเสาร์แบบใหม่ซึ่งมีชั้นฮีเลียมหนาที่ไม่ละลาย(helium insoluable layer; HIL) ชั้นหนึ่ง ซึ่งก้อนฮีเลียมจะค่อยๆ ไปกองสะสมใกล้กับแกนกลาง
ชั้นที่สามก็เป็นของไหลวิกฤติยิ่งยวดเช่นกัน
แต่ฮีเลียมในชั้นนี้ไม่ได้ละลายในไฮโดรเจน แต่แยกตัวออกมาเหมือนกับน้ำมันในน้ำ ซึ่งฮีเลียมจะตกเป็นฝนผ่านไฮโดรเจนด้วยอัตราที่ช้ามากๆ
Stanley อธิบายว่าฝนฮีเลียมเป็นสิ่งที่ประหลาดและน่าตื่นตะลึง
มันจะเกิดขึ้นได้ที่ความดันมากกว่า 1 เมกะบาร์
หรือราว 1 ล้านเท่าความดันชั้นบรรยากาศโลกที่ระดับน้ำทะเล
แต่ที่ความดันต่ำกว่าในแกนกลาง ชั้น ชั้นฝนฮีเลียมนี้มีการพาอย่างเสถียร แผ่ไกลถึง
70% รัศมีดาวเสาร์
ในขณะที่ไฮโดรเจนและฮีเลียมผสมเข้าด้วยกันที่ความดันต่ำกว่านี้ใกล้พื้นผิว
และจะผสมกันอีกครั้งภายในแกนกลาง แตที่ 1 เมกะบาร์นั้นพวกมันกลับเข้ากันไม่ได้เหมือนน้ำกับน้ำมัน
ฮีเลียมซึ่งมีอยู่ราวหนึ่งในสี่ของของไหล
จะก่อตัวเป็นก้อนภายในไฮโดรเจนโลหะซึ่งหยดลงลึกในดาวเคราะห์ กระบวนการจะเกิดขึ้นช้ามากๆ
ฝนฮีเลียมไม่ได้ตกหนักมาก แต่ค่อยๆ กองอย่างช้าๆ
ที่ก้นของชั้นฝนฮีเลียมซึ่งความดันจะสูงมากพอที่ฮีเลียมจะกลายเป็นโลหะและสามารถละลายในไฮโดรเจนโลหะได้
นอกจากนี้ จากงานวิจัยที่เผยแพร่ในปี 2015
ก็น่าจะอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดภายในของดาวเสาร์จึงร้อนกว่าที่คาดไว้ด้วย
เนื่องจากที่รอยต่อของชั้นฝนฮีเลียม
การไหลเวียนแลกเปลี่ยนความร้อนจะเปลี่ยนแปลงตามละติจูด ที่ศูนย์สูตรจึงร้อนกว่ามาก
และอุณหภูมิที่บริเวณใกล้ขั้วดาวเคราะห์ที่ละติจูดสูงๆ ก็จะต่ำกว่ามาก
ที่น่าสนใจก็คือแบบจำลองของทีมยังได้แสดงว่าเพื่อที่สนามแม่เหล็กจะมีสมมาตรเกือบสมบูรณ์ตามแนวแกนการหมุนรอบตัว
ก็อาจจะมีความเอียงไปบ้าง ไม่ถึง 0.5% ที่ขั้ว
ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ข้อมูลจากคาสสินีอ่อนที่สุด Stanley อธิบายว่า แม้ว่าการสำรวจดาวเสาร์ที่เรามีจะดูสมมาตรอย่างสมบูรณ์แบบ
แต่ในแบบจำลองเสมือนจริงคอมพิวเตอร์เราก็สามารถตรวจสอบสนามได้อย่างเต็มที่
การสำรวจในอนาคตน่าจะช่วยระบุสนามแม่เหล็กได้โดยเฉพาะที่ส่วนขั้วของดาวเสาร์
แต่เราอาจจะต้องรออีกนาน เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวนั้นยากที่จะสำรวจได้จากโลก
และขณะนี้ก็ยังไม่มีการวางแผนปฏิบัติการดาวเสาร์ใดๆ อีก งานวิจัยนี้เผยแพร่ใน AGU
Advances
แหล่งข่าว sciencealert.com
: mysterious wobbles in Saturn’s rings reveal clues about its “fuzzy” interior
sciencealert.com :
Saturn has a weirdly neat, symmetrical magnetic field. We may finally know why
skyandtelescope.com :
helium rain inside Saturn might shape its magnetic field
No comments:
Post a Comment