นักดาราศาสตร์ได้จัดทำประวัติการควบรวมของทางช้างเผือกขึ้นใหม่ และพบว่ากาแลคซีของเราได้ดูดกลืนกาแลคซีบริวารขนาดใหญ่ 5 แห่งในช่วง 1.2 หมื่นล้านปีหลังนี้
กาแลคซีของเรานั้นเก่าแก่ น่าจะเก่าแก่พอๆ กับเอกภพทีเดียว แต่มันก็ไม่ได้เริ่มต้นขึ้นมาโดยเป็นวงกังหันของดาวที่ล้อมรอบใจกลางที่มีรูปร่างคล้ายถั่วลิสง มันก็เจริญเติบโตตามเวลา ทั้งสะสมดาวจากการชนกับกาแลคซีแห่งอื่นๆ และก่อตัวดาวขึ้นเองจากกระแสก๊าซที่ไหลเข้าสู่กาแลคซี การปะติดปะต่อรายละเอียดความเป็นมานี้เข้าด้วยกันเป็นเป้าหมายหลักของนักดาราศาสตร์ และ Diederik Kruijssen จากมหาวิทยาลัยไฮเดลแบร์ก เจอรมนี และฮาร์วาร์ด และเพื่อนร่วมงานได้เสนอประวัติในแบบหนึ่ง ซึ่งขณะนี้เผยแพร่ใน Monthly Notices of the Royal Astronomical Society
เพื่อเจาะสู่อดีต Kruijssen และเพื่อนร่วมงานได้ตรวจสอบกระจุกดาวทรงกลม(globular
clusters) ก้อนของดาวที่อยู่กันอย่างแออัดโบราณเหล่านี้เป็นกุญแจสู่อดีต
โดยโดยสารมากับกาแลคซีบริวารเมื่อพวกมันถูกกลืนเข้าสู่ทางช้างเผือก
ขณะนี้พวกมันส่วนใหญ่โคจรอยู่นอกดิสก์ทางช้างเผือก ในส่วนที่เรียกว่า กลดดาว(stellar
halo) นักดาราศาสตร์ได้พบกระจุกทรงกลมอย่างน้อย
150 แห่ง
กระจุกทรงกลมหลายแห่งก่อตัวขึ้นในที่ที่พวกมันอยู่ในขณะนี้
แต่วงโคจรของกระจุกกลุ่มย่อยๆ ได้บอกว่าพวกมันเป็นคนแปลกหน้าในถิ่นที่แปลกตา
กระจุกเหล่านี้ไม่ได้มีธาตุที่หนักกว่าไฮโดรเจนและฮีเลียม(ซึ่งนักดาราศาสตร์เรียกว่า
โลหะ; metal) มากนัก
ซึ่งบ่งชี้ว่ากำเนิดของพวกมันอยู่ในกาแลคซีขนาดเล็ก
แทนที่จะเป็นกาแลคซีขนาดใหญ่และอุดมด้วยโลหะมากกว่าอย่างทางช้างเผือก
เพื่อให้เข้าใจว่ากระจุกทรงกลมเหล่านี้มาจากไหนและเมื่อใด ทีมของ Kruijssen
พึ่งพาแบบจำลองเสมือนจริงเอกภพวิทยาแบบซูมอินชุดหนึ่งที่เรียกว่า E-MOSAICS
แบบจำลองเสมือนจริงเหล่านี้ได้แสดงวิวัฒนาการของกาแลคซีที่คล้ายทางช้างเผือกเมื่อพวกมันฉีกทึ้งและกลืนกินกาแลคซีขนาดเล็กกว่า
ดูดกระจุกทรงกลมเข้ามาไว้ด้วย
การสร้างตัวของกาแลคซีเป็นกระบวนการที่ยุ่งเหยิงอย่างสุดขั้ว
ในระหว่างนั้นวงโคจรของกระจุกทรงกลมจะถูกจัดเรียงใหม่โดยสิ้นเชิง Kruijssen อธิบาย เพื่อให้รู้ถึงที่มาของระบบที่ซับซ้อนที่เหลือไว้ในปัจจุบัน
เราจึงตัดสินใจใช้ปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้
Kruijssen
และเพื่อนร่วมงานได้ฝึกสอนเครือข่ายนิวรอนเทียมใน E-MOSAICS โดยสอนให้มันเชื่อมโยงคุณสมบัติของกระจุกทรงกลมเข้ากับกาแลคซีต้นกำเนิด
เริ่มต้นด้วยการจำแนกกระจุกทรงกลมโดยมีพื้นฐานจากคุณสมบัติร่วมของดาวด้วยการเดินเครื่องอัลกอริทึมกับกาแลคซีเสมือนจริงหลายพันแห่ง
เมื่ออัลกอริทึมสามารถทำนายการก่อตัว,
วิวัฒนาการและการทำลายกระจุกทรงกลมในกาแลคซีจำลองเหล่านั้นได้อย่างเที่ยงตรงแล้ว
ก็ปรับมาใช้กับทางช้างเผือก
ด้วยการใช้ข้อมูลที่ได้จากดาวเทียมไกอา
อัลกอริทึมวิเคราะห์อายุ,
การเคลื่อนที่และองค์ประกอบเคมีของกระจุกทรงกลมที่พบในทางช้างเผือก ผลก็คือประวัติความเป็นมาของการควบรวมที่สำคัญๆ
เกือบทั้งหมดของทางช้างเผือกกับกาแลคซีอื่น 5 ครั้ง(แต่ละครั้งมีดาวเกี่ยวข้องในระดับ 1ร้อยล้านดวงหรือมากกว่านั้น) ซึ่งทำนายการควบรวมที่พบแล้ว
4 ครั้งไว้แล้ว
ประวัติการควบรวมเริ่มต้นด้วย กาแลคซีแห่งหนึ่งที่มีชื่อเล่นว่า คราเค่น(the
Kraken) ได้ชนกับกาแลคซีของเราเมื่อราว
1.1 หมื่นล้านปีก่อน
แม้ว่าจะไม่ใช่กาแลคซีบริวารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่ทางช้างเผือกเคยเฉียดผ่านมา
แต่มันก็มีความสำคัญที่สุดในแง่มวลของกาแลคซีในขณะนั้น
โดยส่งกระจุกทรงกลมอย่างน้อย 13 แห่งให้กับทางช้างเผือก
ในอีก 1 พันล้านปีต่อมา
ก็มีกาแลคซีขนาดเล็กกว่าแห่งหนึ่งซึ่งปัจจุบันเหลือแค่กระแสธารดาวที่เรียกว่า
กระแสธารเฮลมี(Helmi streams) มันนำกระจุกทรงกลมมาให้อย่างน้อย
5 แห่ง
และมีกาแลคซีขนาดเล็กอีก 2 แห่งที่มารวมกับทางช้างเผือกอย่างรวดเร็วซึ่งมีชื่อเล่นว่า
ซีควอยา(Sequoia) และ ไกอา-เอนเซลาดัส(Gaia-Enceladus) หรือไกอาซอสเซจ(Gaia Sausage) ซึ่งส่งกระจุกทรงกลมอย่างน้อย 3 แห่งและ 20 แห่ง ตามลำดับ
และการเข้าใกล้ครั้งล่าสุดก็คือ
กาแลคซีแคระคนยิงธนู(Sagittarius dwarf) ซึ่งเริ่มวิ่งเข้าทะลุทางช้างเผือกซ้ำๆ
ตั้งแต่เมื่อ 7 พันล้านปีก่อน
นอกจากกระจุกทรงกลม 7 แห่งที่นำมาให้แล้ว
ซากของกาแลคซีก็ยังเห็นได้เป็นวงโค้งของดาวที่ถูกยืดออกล้อมรอบกาแลคซีด้วยวงโคจรที่เกือบอยู่เหนือขั้วกาแลคซีพอดี
ก่อนหน้านี้เคยคิดว่า ไกอา-เอนเซลาดัสเป็นการชนครั้งใหญ่ที่สุด อย่างไรก็ตาม
การควบรวมกับคราเค่นซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 1.1 หมื่นล้านปีก่อน
เมื่อทางช้างเผือกมีมวลต่ำกว่าปัจจุบัน 4 เท่า
ด้วยเหตุนี้
การชนกับคราเค่นจะต้องแปรสภาพให้ทางช้างเผือกเป็นอย่างที่เป็นนับแต่นั้นมา Kruijssen อธิบาย
เป็นไปได้ที่จะมีการชนของกาแลคซีขนาดเล็กกว่าอื่นๆ อีก
ซึ่งไม่ได้ส่งกระจุกดาวทรงกลมมาให้ ซึ่งนักดาราศาสตร์สงสัยว่าจะต้องมีการควบรวมย่อยอย่างน้อย
15 ครั้งซึ่งแต่ละครั้งมีดาวเกี่ยวข้องที่
10 ล้านดวงหรือมากกว่านั้น
แต่การศึกษานี้ไม่ได้ออกแบบมาให้ทำบัญชีรายชื่อกาแลคซีเหล่านั้นด้วย
ที่น่าสนใจก็คือ Kruijssen
และเพื่อนร่วมงานยังได้พบแม้ว่าการชนของกาแลคซีเหล่านี้จะเป็นเหตุการณ์หลักๆ ในความเป็นมาเกือบตลอดของทางช้างเผือก
แต่พวกมันก็ส่งมวลดาวมาให้เพียง 1 พันล้านดวงเท่านั้น
ซึ่งประมาณมวลของฮาโล แต่แทบไม่เพิ่มดาวในดิสก์กังหันเลย
ดาวเกือบทั้งหมดในทางช้างเผือกก่อตัวขึ้นในกาแลคซีของเราเอง
Helmer Koppelman จากสถาบันเพื่อการศึกษาชั้นสูง พรินซตัน
ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการศึกษานี้ เรียกการศึกษานี้ว่าเป็น
การสรุปความเป็นมาเรื่องการควบรวมของทางช้างเผือกที่น่ามหัศจรรย์ที่สุด แต่ก็ยังมีข้อควรระวังบางสิ่งที่ต้องจำได้
ประการแรก
แม้ว่าการศึกษานี้จะมีพื้นฐานจากแบบจำลองเสมือนจริงกาแลคซีซึ่งโดยเฉลี่ยเหมือนกับทางช้างเผือก
แต่ Koppelman อธิบายว่าคำว่า
กาแลคซีโดยเฉลี่ย อาจจะไม่มีอยู่จริง
ซึ่งหมายความว่าแต่ละกาแลคซีก็มีความพิสดารในแบบของมันเอง
ไม่เพียงแต่แบบจำลองเสมือนจริงจะสันนิษฐานเกี่ยวกับทางช้างเผือกแบบเฉลี่ย
แต่พวกมันยังสันนิษฐานเอกภพที่จำเพาะด้วย
แบบจำลองเสมือนจริงอื่นๆ(และก็มีแบบอื่นที่หลากหลาย)
อาจจะสร้างผลสรุปที่แตกต่างกัน ในความเป็นจริง
การศึกษาประวัติการก่อตัวของกาแลคซีนั้นได้รับแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งจากความต้องการจะทดสอบว่าเอกภพเสมือนจริงจะสะท้อนถึงความเป็นจริงได้ดีแค่ไหน
ด้วยวิธีนี้ ผู้เขียนจึงจะทดสอบได้ดีที่สุด Koppelman
กล่าว งานวิจัยในอนาคตซึ่งอาจจะสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับประวัติการควบรวมที่นำเสนอในรายงานนี้
อาจจะบอกเราได้ว่าแบบจำลองเสมือนจริงนั้นเที่ยงตรงหรือไม่
แน่นอนว่ายังมีงานต้องทำอีกมากเพื่อสร้างประวัติความเป็นมาอันยุ่งเหยิงของกาแลคซีของเราขึ้นมาใหม่
แต่การศึกษานี้ก็ให้เค้าโครงกับความพยายามนี้
.งานวิจัยใหม่โดยนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานกับข้อมูลจากการสำรวจ
APOGEE(Apache Point Observatory Galactic Evolution Experiment) ของการสำรวจ SDSS(Sloan Digital Sky
Survey) ได้พบฟอสซิลกาแลคซีแห่งหนึ่ง
ซ่อนอยู่ลึกในทางช้างเผือก ผลสรุปเผยแพร่ใน Monthly Notices of the Royal
Astronomical Society อาจจะเขย่าความเข้าใจของเราว่าทางช้างเผือกเจริญกลายเป็นกาแลคซีที่เราเห็นทุกวันนี้ได้อย่างไร
กาแลคซีฟอสซิลแห่งนี้อาจจะชนกับทางช้างเผือกเมื่อ 1 หมื่นล้านปีก่อน
เมื่อกาแลคซีของเรายังคงอยู่ในช่วงเยาว์วัย นักดาราศาสตร์เรียกมันว่า เฮราเคิล(Heracles;
เป็นชื่อภาษากรีกของเฮอร์คิวลิส)
ซึ่งเป็นวีรบุรุษชาวกรีกโบราณที่ได้รับพรความเป็นอมตะเมื่อทางช้างเผือกถูกสร้างขึ้นมา
ซากของเฮราเคิลมีอยู่ราวหนึ่งในสามของฮาโลกทางช้างเผือก
แต่ถ้าดาวและก๊าซจากเฮราเคิลเป็นสัดส่วนที่สูงในฮาโล
แล้วทำไมเราจึงไม่เห็นมันมาก่อนหน้านี้ คำตอบซ่อนอยู่ในตำแหน่งของมันที่ฝังอยู่ลึกภายในทางช้างเผือก
เพื่อที่จะหากาแลคซีฟอสซิลเช่นนี้
เราจะต้องพิจารณาองค์ประกอบเคมีและการเคลื่อนที่ในรายละเอียดของดาวหลายหมื่นดวง Ricardo
Schiavon จากมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล
จอห์น มัวร์ ในสหราชอาณาจักร สมาชิกคนสำคัญในทีมวิจัย กล่าว นี่เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากๆ
สำหรับดาวในใจกลางทางช้างเผือก
เนื่องจากพวกมันถูกเมฆฝุ่นในอวกาศซ่อนไว้จากสายตาของเรา APOGEE ช่วยให้เราได้เจาะทะลุผ่านฝุ่นและมองเข้าไปในใจกลางทางช้างเผือกได้ลึกกว่าที่เคยทำมาก่อน
APOGEE ทำได้โดยการเก็บสเปคตรัมของดาวในช่วงอินฟราเรดใกล้
แทนที่จะเป็นช่วงตาเห็นได้ซึ่งถูกฝุ่นปิดบังไว้ ตลอดช่วงการสำรวจที่นาน 10 ปี APOGEE ได้ตรวจสอบสเปคตรัมของดาวมากกว่าห้าแสนดวงทั่วทางช้างเผือก
ซึ่งรวมถึงในส่วนแกนกลางที่เคยถูกฝุ่นบังไว้ด้วย
Danny Horta นักศึกษาจาก LJMU ผู้เขียนนำรายงานประกาศผลสรุป อธิบายว่า การตรวจสอบดาวจำนวนมากมายเช่นนี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อค้นหาดาวที่ไม่ปกติในใจกลางทางช้างเผือกที่มีประชากรดาวอยู่กันอย่างแออัด
ซึ่งก็ไม่ต่างจากการงมเข็มในมหาสมุทร
เพื่อที่จะแยกแยะดาวของเฮราเคิลออกจากพวกที่มีกำเนิดในทางช้างเผือก
ทีมใช้ทั้งองค์ประกอบเคมีและความเร็วของดาวที่ตรวจสอบโดย APOGEE ดาวหลายหมื่นดวงที่เราตรวจสอบ
มีไม่กี่ร้อยดวงที่มีองค์ประกอบเคมีและความเร็วที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด Horta
กล่าว
ดาวเหล่านี้แตกต่างอย่างมากจนพวกมันจะมาจากกาแลคซีอื่นเท่านั้น
ด้วยการศึกษาพวกมันในรายละเอียด เราสามารถตามรอยตำแหน่งและความเป็นมาที่แม่นยำของกาแลคซีฟอสซิลนี้ได้
เนื่องจากกาแลคซีนั้นก่อร่างสร้างตัวผ่านการควบรวมกับกาแลคซีขนาดเล็กกว่าเมื่อเวลาผ่านไป
ซากของกาแลคซีที่เก่าแก่มากกว่าก็มักจะพบได้ในฮาโลส่วนนอกของทางช้างเผือกซึ่งเป็นเมฆของดาวขนาดมหึมาแต่อยู่กันอย่างกระจัดกระจายตัวมากล้อมรอบทางช้างเผือกไว้
แต่เนื่องจากกาแลคซีของเราสร้างตัวขึ้นจากภายในออกไปข้างนอก
การพบการควบรวมที่เกิดขึ้นแรกเริ่มที่สุดจึงต้องพิจารณาไปที่ส่วนตรงกลางที่สุดของฮาโลทางช้างเผือก
ซึ่งก็ฝังตัวอยู่ภายในดิสก์และส่วนป่องที่ใจกลาง(central bulge)
ดาวที่เดิมเคยอยู่กับเฮราเคิลมีอยู่ราวหนึ่งในสามของมวลฮาโลทางช้างเผือกทั้งหมดในปัจจุบัน
ซึ่งหมายความว่า
การชนโบราณที่เพิ่งค้นพบใหม่นี้จะต้องเป็นเหตุการณ์ใหญ่ในประวัติความเป็นมาของทางช้างเผือก
นี่บอกว่ากาแลคซีของเราอาจจะไม่ปกติ เนื่องจากกาแลคซีกังหันขนาดใหญ่ที่คล้ายๆ
กันเกือบทั้งหมดจะมีชีวิตในช่วงต้นที่สงบเงียบกว่านี้ ในฐานะบ้านของเรา
ทางช้างเผือกได้กลายเป็นความพิเศษไปแล้ว
แต่กาแลคซีโบราณที่ฝังตัวอยู่แห่งนี้ก็ยิ่งทำให้มันมีความพิเศษมากขึ้น Schiavon
กล่าว
Karen Masters โฆษกของ SDSS-IV ให้ความเห็นว่า APOGEE เป็นหนึ่งในการสำรวจเรือธงในช่วงที่สี่ของ SDSS
และผลสรุปนี้ก็เป็นตัวอย่างของวิทยาศาสตร์ที่น่าอัศจรรย์ที่ใครๆ
ก็ทำได้ ขณะนี้เราใกล้จะเสร็จสิ้นปฏิบัติการที่ยาวนานสิบปีแล้ว แต่ยุคสมัยแห่งการค้นพบก็จะไม่จบลงเมื่อการสำรวจ
APOGEE สำเร็จลง
ช่วงที่ห้าของ SDSS ได้เริ่มเก็บข้อมูลแล้ว
และนักทำแผนที่ทางช้างเผือกนี้ก็จะดำเนินรอยตามความสำเร็จของ APOGEE ในการตรวจสอบสเปคตรัมของดาวในทุกๆ
ส่วนของทางช้างเผือกมากขึ้นเป็นสิบเท่า โดยใช้แสงช่วงอินฟราเรดใกล้, ช่วงตาเห็น
และอาจจะรวมทั้งสองช่วง
space.com : newfound “Kraken merger” may have been the biggest collision in Milky Way’s history
sciencealert.com : “family tree” of the Milky Way reveals the fate of the mysterious Kraken galaxy
phys.org : astronomers discover new “fossil galaxy” buried deep within the Milky Way
No comments:
Post a Comment