ภาพ GLASS-z13
เพียงหนึ่งสับดาห์หลังจากนาซาเผยแพร่ภาพชุดแรกของกล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์เวบบ์ให้ชาวโลกได้ยล
นักวิทยาศาสตร์ซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลกล่าวว่า
เวบบ์อาจจะได้พบกาแลคซีแห่งหนึ่งซึ่งปรากฏอยู่ที่ 13.5 พันล้านปีก่อน
งานวิทยาศาสตร์ช่วงต้นของกล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์เวบบ์(James Webb
Space Telescope) รวมโครงการหนึ่งที่เรียกว่า
GLASS(Grism Lens-Amplified Survey from Space) จาก GLASS ในข้อมูลชุดแรก นักดาราศาสตร์ตรวจสอบกระจุกกาแลคซี
Abell 2744 ซึ่งมีมวลสูงมากจนแรงโน้มถ่วงของมันสามารถรบกวนห้วงอวกาศรอบๆ
มันและทำหน้าที่เป็นเลนส์ความโน้มถ่วงเพื่อขยายภาพจากกาแลคซีที่อยู่ห่างไกลที่สุดเบื้องหลังกระจุก
นักดาราศาสตร์ที่นำทีมโดย Rohan Naidu จากศูนย์ฮาร์วาร์ดสมิธโซเนียนเพื่อดาราศาสตร์ฟิสิกส์(CfA)
ได้พบกาแลคซีเรียกกันว่า GLASS-z13 ปรากฏเมื่อ 3 ร้อยล้านปีหลังจากบิ๊กแบง ปรากฎเร็วกว่าสิ่งใดๆ
ที่เคยจำแนกไว้ประมาณ 1 ร้อยล้านปี Naidu
กล่าวว่า เราอาจจะได้มองดูแสงดาวที่ห่างไกลที่สุดเท่าที่ใครเคยเห็นมา(ชื่อของกาแลคซีแห่งนี้มาจากความจริงที่ว่านักดาราศาสตร์ได้ตรวจสอบ
“เรดชิพท์” ของมันที่ 13)
วัตถุที่ยิ่งอยู่ห่างไกลจากเราแค่ไหน
แสงของพวกมันก็ใช้เวลาเดินทางมาถึงเรานานขึ้นไปด้วย
ดังนั้นการมองไปในเอกภพอันห่างไกลก็เหมือนการมองย้อนอดีต แม้ว่า GLASS-z13 จะปรากฏในยุคแรกสุดของเอกภพ
แต่ก็ยังไม่ทราบอายุที่แน่นอนของมัน เมื่อมันอาจก่อตัวขึ้นช่วงใดก็ตามในช่วง 3
ร้อยล้านปีแรกนี้
GLASS-z13 ถูกพบในชุดข้อมูลที่เผยแพร่เบื้องต้น
จากกล้องถ่ายภาพอินฟราเรดหลักของเวบบ์คือ NIRCam แต่การค้นพบนี้ไม่ได้เผยแพร่ไปกับภาพชุดแรกที่นาซาเผยแพร่เมื่อวันที่
12 กรกฎาคม
หนึ่งในภารกิจสูงสุดของกล้องเวบบ์ก็คือความสามารถในการค้นหากาแลคซีแห่งแรกๆ
สุดที่ก่อตัวขึ้นหลังจากบิ๊กแบง เมื่อ 13.8 พันล้านปีก่อน
เนื่องจากพวกมันอยู่ห่างไกลจากเราอย่างมาก ในช่วงเวลาที่แสงเดินทางมาถึงโลก
แสงจะถูกยืดออกจากการขยายตัวของเอกภพ และเลื่อนไปสู่ช่วงอินฟราเรด(redshifted)
ในสเปคตรัมแสง
ซึ่งกล้องเวบบ์ตรวจจับได้อย่างไม่มีปัญหา Naidu และเพื่อนร่วมงานได้กรองผ่านข้อมูลเอกภพอันห่างไกลในช่วงอินฟราเรดนี้
เพื่อมองหาสัญญาณร่องรอยของกาแลคซีที่ห่างไกลสุดขั้ว
เมื่อแปลผลจากแสงอินฟราเรดเป็นแสงช่วงตาเห็น
กาแลคซีแห่งนี้จะปรากฏเป็นก้อนสีแดงโดยมีใจกลางสีขาว Naidu และทีมเพื่อนร่วมงานรวม 25 คนจากทั่วโลก
ยื่นเสนอการค้นพบในวารสารทางวิทยาศาสตร์ ในตอนนี้
งานวิจัยเผยแพร่บนเวบไซท์ก่อนตีพิมพ์ arXiv.org วันที่ 19 กรกฏาคม ดังนั้นจึงยังไม่ผ่านการทบทวนโดยผู้รู้เสมอกัน(พิชญพิจารณ์; peer-reviewed) แต่ก็สร้างความฮือฮาให้กับประชาคมดาราศาสตร์แล้ว
บันทึกสถิติทางดาราศาสตร์กำลังพังครืนและอีกหลายอย่างที่ถูกเขย่าบัลลังก์ Thomas
Zurbuchen หัวหน้านักวิทยาศาสตร์นาซา
ทวีตข้อความ แน่นอนว่าผมจะดีใจก็ต่อเมื่อผลสรุปทางวิทยาศาสตร์นี้ผ่านพิชญพิจารณ์
แต่ก็ดูมีแววมาก Naidu บอกว่ายังมีนักดาราศาสตร์อีกทีมที่นำโดย
Marco Castellano ที่ใช้ข้อมูลเดียวกัน
ได้บรรลุถึงข้อสรุปที่เหมือนกัน เลยช่วยให้พวกเรามั่นใจ
ในช่วงความยาวคลื่นอินฟราเรด จะมีช่วงเกณฑ์จำเพาะซึ่งต่ำกว่าค่าดังกล่าว
โฟตอนทั้งหมดจะถูกดูดกลืนไว้โดยไฮโดรเจนที่เป็นกลางในเอกภพ
ซึ่งคั่นอยู่ระหว่างวัตถุกับผู้สังเกตการณ์
ด้วยการใช้ข้อมูลที่รวบรวมได้จากฟิลเตอร์อินฟราเรดที่แตกต่างกันที่หันไปที่พื้นที่เดียวกันบนฟ้า
ทีมก็สามารถตรวจสอบตำแหน่งที่โฟตอนหายไปจนเกลี้ยงนี้ ได้ว่าอยู่ตรงไหน
ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ใช้บอกถึงการมีอยู่ของกาแลคซีที่ห่างไกลมากที่สุด
เราสำรวจข้อมูลเบื้องต้นจากกาแลคซีทั้งหมดเพื่อหาสัญญาณนี้
และก็มีระบบสองแห่งที่โดยรวมแล้วมีสัญญาณที่เป็นไปได้มากที่สุด Naidu กล่าว นอกจาก GLASS-z13 อีกแห่งคือ GLASS-z11
ไม่ได้เก่าแก่เท่า
เป็นหลักฐานที่ชัดเจนแต่ก็ยังมีงานที่ต้องทำอีก เธอกล่าว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทีมอยากได้เวลาในการสำรวจจากกล้องเวบบ์เพื่อทำการตรวจสอบสเปคตรัม
ซึ่งเป็นการวิเคราะห์แสงที่เผยให้เห็นคุณสมบัติในรายละเอียด
เพื่อตรวจสอบระยะทางที่แม่นยำของมัน สำหรับตอนนี้
การคาดเดาระยะทางของมันมีพื้นฐานจากสิ่งที่เรามองไม่เห็น
จะดีมากที่จะได้คำตอบกับสิ่งที่เราได้เห็นนี้ Naidu กล่าว
แต่กระนั้น
ทีมก็พบได้คุณสมบัติที่น่ามหัศจรรย์แล้ว ยกตัวอย่างเช่น GLASS-z11 และ GLASS-z13 เป็นกาแลคซีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เมื่อเทียบกับทางช้างเผือกซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลาง
1 แสนปีแสง
อย่างไรก็ตาม ในยุคดังกล่าว
ทั้งสองก็มีขนาดใหญ่โดยมีเส้นผ่าศูนย์กลางระหว่าง 3000 ถึง 4500 ปีแสง
และมีมวลรวมที่เป็นดาวเทียบเท่ากับ 1 พันล้านเท่ามวลดวงอาทิตย์
และเป็นดาวที่สว่างสูงจำนวนมาก
การค้นพบที่น่าประหลาดใจอีกอย่างก็คือ GLASS-z11
ได้แสดงข้อบ่งชี้ว่ามันมีรูปร่างเรียว
โดยมีดิสก์กังหันที่กำลังเติบโต ในขณะที่กาแลคซีที่ห่างไกลที่สุดที่ยืนยันแล้วในขณะนี้
GN-z11 ก็ดูเหมือนจะมีดิสก์ด้วยเช่นกัน
ในขณะที่กาแลคซีเกือบทั้งหมดที่พบที่เรดชิพท์สูงๆ มักจะมีลักษณะเป็นขยุ้มก้อน แต่ GLASS-z11
และ GN-z11 แสดงว่าเป็นไปได้ที่โครงสร้างในกาแลคซีอาจจะพัฒนาขึ้นได้ค่อนข้างเร็ว
ซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างความประหลาดใจอย่างมาก
และเป็นเรื่องที่เราไม่เข้าใจเลยว่ามันก่อตัวไม่นานหลังจากบิ๊กแบงได้อย่างไร Naidu
กล่าว พื้นที่ท้องฟ้าที่ GLASS
ทำการสำรวจโดยรวมมีขนาด 50 ตารางอาร์คนาที(ดวงจันทร์มีความกว้าง 31 อาร์คนาที)
และเฉพาะในพื้นที่นี้ก็พบกาแลคซีที่มีเรดชิพท์มากกว่า 11 แล้วถึงสองแห่ง จากจำนวนก็น่าจะบ่งชี้ว่ากาแลคซีที่ส่องสว่างในเอกภพยุคเริ่มแรกนั้นพบได้บ่อยกว่าที่เคยคาดไว้
การตรวจจับนี้ยังบอกเป็นนัยว่ากล้องเวบบ์จะพบกาแลคซีที่ห่างไกลอย่างนี้อีกมากมาย
และบางทีอาจจะเป็นกาแลคซีที่ไกลออกไปอีก
จากทฤษฎีการก่อตัวกาแลคซี นับตั้งแต่ที่เราได้เห็นภาพพวกมันเวลาได้ผ่านเลยไป ทั้ง GLASS-z11 และ GLASS-z13 จะต้องเจริญเติบโตต่อไปผ่านการควบรวม(merger) กับกาแลคซีแห่งอื่นๆ และบางทีอาจจะพัฒนากลายเป็นกาแลคซีทรงรี(elliptical galaxies) ยักษ์ แต่กระนั้น การขยายตัวของเอกภพก็ทำให้ GLASS-z11 และ GLASS-z13 อยู่ห่างเราออกไปอีก และทุกวันนี้ พวกมันก็อยู่ไกลจากเรามากกว่า 32 พันล้านปีแสงแล้ว ไกลเกินกว่าที่กล้องโทรทรรศน์ใดๆ จะไปถึง
แหล่งข่าว phys.org
: Webb telescope may have already found most distant known galaxy
space.com : James Webb
Space Telescope discovers candidates for most distant galaxies yet
No comments:
Post a Comment