Monday, 4 October 2021

อุกกาบาตที่ทำลายเมืองโบราณ

 

ไฟไหม้ครั้งใหญ่และคลื่นกระแทกที่เกิดจากหินอวกาศระเบิดบนอากาศเหนือเมือง


     เมื่อผู้อาศัยในเมืองโบราณแห่งหนึ่งในยุคสำริดที่เรียกว่า Tall el-Hammam ในตะวันออกกลาง ใช้ชีวิตประจำวันในวันหนึ่งเมื่อ ราว 3600 ปีก่อน พวกเขาก็ไม่ทราบเลยว่ามีหินอวกาศน้ำแข็งก้อนหนึ่งที่มองไม่เห็นกำลังพุ่งเข้าหาด้วยความเร็ว 61000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

     เกิดแสงจ้าในชั้นบรรยากาศ และก้อนหินก็ระเบิดเป็นไฟร์บอลขนาดใหญ่ที่ระดับ 4 กิโลเมตรเหนือพื้นดิน การระเบิดมีความรุนแรงกว่าระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมาราว 1 พันเท่า ผู้อาศัยในเมืองที่มองการระเบิดก็ตาบอดในทันที อุณหภูมิในอากาศสูงขึ้นอย่างรวดเร็วไปถึง 2000 องศาเซลเซียส เสื้อผ้าและไม้ติดไฟในทันที ดาบ, หอก, ก้อนอิฐดิน(mudbrick) และเครื่องปั้นดินเผา เริ่มละลาย แทบจะในทันทีนั้น เมืองทั้งเมืองก็โกลาหล

     ในไม่กี่วินาทีต่อมา คลื่นกระแทกขนาดใหญ่ก็วิ่งเข้าหาเมือง เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 1200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มันมีความรุนแรงมากกว่าพายุหมุนที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยบันทึกมาเสียอีก ลมเกรี้ยวกราดกระชากผ่านเมิองทำลายล้างทุกสิ่งก่อสร้างลง ลมได้พัดส่วนบนรวม 12 เมตรของอาคารพระราชวังสูงสี่ชั้นหายไป และเป่าเศษซากจนไปถึงหุบเขาอีกแห่ง ผู้คนประมาณ 8000 คน กระทั่งสัตว์ใดๆ ภายในเมืองนั้นไม่รอดชีวิตเลย ร่างกายถูกฉีกและกระดูกยังระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

กระดูกมนุษย์ในชั้นแห่งการทำลาย

     ในอีกหนึ่งนาทีต่อมา 22 กิโลเมตรทางตะวันตกของ Tall el-Hammam ลมจากการระเบิดก็ประทะเข้ากับเมือง Tell es-Sultan(ซึ่งบอกว่าคือเมืองเจริโค; Jericho ในคัมภีร์ไบเบิล) กำแพงเมืองถล่มลงและเมืองก็ถูกเผาราบเป็นหน้ากลอง และรวมถึง Tall-Nimrin ก็ถูกทำลายด้วย

     ทั้งหมดนี้อาจฟังดูเหมือนเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเกี่ยวกับหายนะภัยครั้งใหญ่ แต่คุณจะรู้หรือไม่ว่าสิ่งทั้งหมดนี้จริงๆ แล้วเกิดขึ้นทางตะวันออกเฉียงเหนือของเดธซี(Death Sea) ในจอร์แดน เมื่อหลายพันปีก่อน ในช่วงเวลาที่เกิดหายนะนี้ Tall el-Hammam เป็นเมืองใหญ่ที่สุดในสามเมืองหลักในเขตหุบเขาจอร์แดน ทำหน้าที่เสมือนเป็นศูนย์กลางทางรัฐศาสตร์ของพื้นที่นี้ โดยรวมแล้ว เมืองใหญ่ทั้งสามมีประชากรราวห้าหมื่นคน ในช่วงเวลาดังกล่าว มันมีขนาดใหญ่กว่าเยรูซาเลม 10 เท่า และใหญ่กว่าเจริโค 5 เท่า  


เมืองที่ขณะนี้เรียกว่า Tall el-Hammam อยู่ห่างจากเดธซีไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 11 กิโลเมตรอยู่ในประเทศจอร์แดน



     การให้ได้คำตอบเหล่านี้ต้องใช้ความพยายามขุดค้นทางโบราณคดีถึง 15 ปีโดยผู้คนหลายร้อยคน ยังเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์วัสดุที่ขุดค้นได้ในรายละเอียด โดยนักวิทยาศาสตร์กว่ายี่สิบคนจาก 10 รัฐในสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับในคานาดาและสาธารณรัฐเชค สุดท้าย ทีมได้เผยแพร่หลักฐานล่าสุดในวารสาร Nature Scientific Reports ผู้เขียนร่วม 21 คนมีตั้งแต่นักโบราณคดี, นักธรณีวิทยา, นักธรณีเคมี, นักธรณีสัณฐานวิทยา, นักแร่ธาตุวิทยา, นักบรรพพฤกษศาสตร์, นักตะกอนวิทยา, ผู้เชี่ยวชาญการชนจากอวกาศ และแพทย์

    และนี่คือเส้นทางสู่การหยั่งรู้เหตุการณ์ทำลายล้างในอดีต หลายปีก่อน เมื่อนักโบราณคดีทำการขุดสำรวจเมืองร้าง พวกเขาเห็นชั้นสีมืดหนาราว 1.5 เมตรที่มีถ่าน, เถ้า, อิฐดินที่หลอมละลายเป็นฟอง และเครื่องปั้นดินเผาที่หลอมละลายผสมกัน มันต้องเป็นยิ่งกว่าพายุไฟรุนแรงที่ทำลายเมืองนี้เมื่อนานมาแล้ว แถบสีมืดนี้จึงถูกเรียกว่า ชั้นการทำลาย(destruction layer) ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น แต่ชั้นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากภูเขาไฟ, แผ่นดินไหว หรือสงคราม หายนะเหล่านั้นไม่สามารถหลอมโลหะ, อิฐดิน และเครื่องปั้นดินเผาได้

นักวิจัยที่พื้นที่ขุดค้น จะเห็นชั้นแห่งการทำลายล้างประมาณครึ่งทางบนกำแพงที่เปิดออกมา

     เพื่อระบุให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทีมสหวิชาการได้ใช้ Online Impact Calculator เพื่อทำแบบจำลองลำดับเหตุการณ์ที่สอดคล้องกับหลักฐาน เครื่องมือซึ่งสร้างโดยผู้เชี่ยวชาญการชนนี้ช่วยให้นักวิจัยได้ประเมินรายละเอียดมากมายจากเหตุการณ์การชนจากอวกาศ โดยมีพื้นฐานจากเหตุการณ์การชนที่ทราบกันดีและการทำลายล้างโดยระเบิดนิวเคลียร์ และดูเหมือนตัวการที่ Tall el-Hammam จะเป็นดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็กดวงหนึ่ง(เส้นผ่าศูนย์กลางราว 60 เมตร) ที่คล้ายกับดวงที่โค่นต้นไม้ 80 ล้านต้นเหนือทังกัสกา รัสเซียในปี 1908 ซึ่งก็เล็กกว่าหินที่ทำให้ไดโนซอร์สูญพันธุ์เมื่อ 65 ล้านปีก่อน อย่างมาก

     เมื่อทราบตัวการแล้ว ก็ต้องพิสูจน์หาสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นที่ Tall el-Hammam ทีมวิจัยได้เปิดเผยหลักฐานหลายมุม หนึ่งในการค้นพบหลักจากแหล่งขุดก็คือเม็ดทรายที่มีรอยแตกยิบซึ่งเรียกว่า shocked quartz James P. Kennett ศาสตราจารย์เกียรติคุณด้านวิทยาศาสตร์โลกที่มหาวิทยาลัยคาลิฟอร์เนีย ซานตาบาร์บารา กล่าว ควอทซ์ซึ่งปกติแข็งมากๆ ควอทซ์จากการกระแทกจะก่อตัวขึ้นที่ความดันสูงมากๆ (ระดับ 5 กิกะพาสคาส หรือ 725000 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) เท่านั้น

ภาพจากกล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอนแสดงให้เห็นรอยแตกขนาดเล็กมากมายบนควอทซ์ถูกกระแทก(shocked quartz)

      ชั้นการทำลายล้างยังประกอบด้วยไดมอนอยด์(diamonoids) ขนาดจิ๋ว ซึ่งก็แข็งพอๆ กับเพชร แต่ละชิ้นมีขนาดเล็กกว่าไวรัสไข้หวัดใหญ่ ดูเหมือนว่าต้นไม้และพืชพันธุ์ในพื้นที่นั้นจะถูกเปลี่ยนเป็นวัสดุสารคล้ายเพชรนี้ในทันที โดยแรงดันและอุณหภูมิที่สูงมากจากไฟร์บอล การทดลองกับเตาเผาในห้องทดลองได้แสดงว่าเครื่องปั้นดินเผาและอิฐดินที่ Tall el-Hammam กลายเป็นของเหลวที่อุณหภูมิ 1500 องศาเซลเซียส ซึ่งร้อนพอที่จะหลอมรถยนต์ได้ภายในไม่กี่นาที

     ชั้นการทำลายล้างยังมีลูกบอลวัสดุสารที่หลอมเหลวขนาดจิ๋ว ซึ่งเล็กกว่าอนุภาคฝุ่นในอากาศ ซึ่งเรียกว่า สเฟียร์รูล(spherules) พวกมันประกอบด้วยเหล็กและทรายที่กลายเป็นไอ ซึ่งหลอมเหลวที่อุณหภูมิราว 1590 องศาเซลเซียส นอกจากนี้ พื้นผิวของเครื่องปั้นดินเผาและแก้วที่หลอมเหลว ยังมีรอยแต้มด้วยเม็ดโลหะหลอมเหลวขนาดจิ๋วที่มีอิริเดียม(iridium) ซึ่งมีจุดหลอมเหลวที่ 2466 องศาเซลเซียส, พลาทินัม ซึ่งหลอมเหลวที่ 1768 องศาเซลเซียส และเซอร์โคเนียมซิลิเกต(zirconium silicate) หลอมเหลวที่ 1540 องศาเซลเซียส

      เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้ว หลักฐานทั้งหมดนี้ได้แสดงว่าอุณหภูมิในเมืองพุ่งสูงยิ่งกว่าที่เกิดจากภูเขาไฟ, สงครามและไฟไหม้เมืองตามปกติ กระบวนการในธรรมชาติที่เหลืออยู่ก็มีแต่การชนจากอวกาศ หลักฐานคล้ายๆ กันยังพบได้ที่พื้นที่การชนที่เป็นที่รู้จักดีอย่างทังกัสกา และหลุมอุกกาบาตชิคซูลูป(Chicxulub crater) ซึ่งเกิดจากดาวเคราะห์น้อย ซึ่งทำให้เกิดการสูญพันธุ์ของไดโนซอร์

ไดมอนอยด์(กลางภาพ) ภายในหลุมแห่งหนึ่ง ซึ่งก่อตัวขึ้นจากอุณหภูมิและแรงดันที่สูงมากจากไฟร์บอลที่กระทำต่อพืช

     นักโบราณคดียังพบเกลือความเข้มข้นสูงในชั้นการทำลายล้าง(ค่าเฉลี่ยความเป็นเกลือราว 4% ในตะกอน แต่บางตัวอย่างก็มีเกลือสูงถึง 25%) ซึ่งอาจเกิดจากแรงระเบิดที่ปะทะกับเดธซี หรือชายฝั่งของมัน การระเบิดน่าจะกระจายเกลือไปเป็นบริเวณกว้างทั่วหุบเขา ทำให้เพาะปลูกพืชผลไม่ได้ เมืองแห่งนี้ และพื้นที่ที่มีการตั้งถิ่นฐานอื่นๆ อีกร้อยกว่าแห่งในหุบเขาจอร์แดนตอนล่างถูกทิ้งร้างจากประชากรหลายหมื่นคน เหลือเพียงแค่เผ่าเร่ร่อนไม่กี่ร้อยคน จนกระทั่งฝนในปริมาณต่ำที่สุดที่ตกในเขตทะเลทราย ได้ชะเกลือออกจากพื้นที่นี้ไป หลักฐานการตั้งถิ่นฐานอีกครั้งที่ Tall el-Hammam และชุมชนใกล้เคียงปรากฏอีกครั้งในอีกราว 600 ปีต่อมา ในยุคเหล็ก

      เป็นไปได้ที่การบอกเล่าถึงการทำลายล้างเมืองนี้อาจจะบอกกันปากต่อปากจากรุ่นสู่รุ่น จนกระทั่งมันถูกบันทึกไว้ในเรื่องราวของเมืองโซดอม(Sodom) และโกมอร์ราห์(Gomorrah) ในหนังสือปฐมกาล(Book of Genesis หรือพันธสัญญาเดิม; Old Testament) ได้อธิบายการทำลายล้างเมืองศูนย์กลางใกล้เดธซี ว่า มีหินและไฟตกลงมาจากท้องฟ้า มีเมืองมากกว่าหนึ่งแห่งที่ถูกทำลาย หมอกควันหนาทึบจากไฟ และผู้อาศัยในเมืองก็ถูกฆ่า เช่นเดียวกับที่ปรากฏในพระวรสารนักบุญลูกา(Gospel of Luke)

     นี่จะนับเป็นประจักษ์พยานจากอดีตหรือไม่ Kennett กล่าวว่า การสำรวจทั้งหมดที่ระบุใน(หนังสือ) ปฐมกาลนั้นสอดคล้องกับการระเบิดในอากาศจากอวกาศ แต่ก็ไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ว่าเมืองที่ถูกทำลายนี้แท้จริงแล้วคือ โซดอมในพันธสัญญาเดิม

สเฟียร์รูลที่เกิดจากทรายที่หลอมเหลว(บนซ้าย) palace plaster(บนขวา) และโลหะที่หลอมละลาย(สองภาพล่าง)

     ถ้าเป็นเช่นนั้น การทำลายล้างเมือง Tall el-Hammam ก็อาจจะเป็นการทำลายการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์โดยการชนจากอวกาศที่เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับสอง รองจากหมู่บ้าน Abu Hureya ในซีเรีย ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อราว 12800 ปีก่อน ที่สำคัญคือ เป็นครั้งแรกที่มีบันทึกลายลักษณ์อักษรของหายนะครั้งนี้

     สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ แทบจะแน่นอนว่าน่าจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่บ้านเมืองมนุษย์ต้องเผชิญกับชะตากรรมนี้ การระเบิดในอากาศขนาดเท่าที่ทังกัสกา อย่างที่ก็เกิดกับ Tall el-Hammam สามารถกวาดล้างเมืองและพื้นที่รอบๆ ได้ทั้งหมด และยังสร้างอันตรายให้กับชีวิตสมัยใหม่อย่างรุนแรงด้วย

     อ้างอิงในเดือนกันยายน 2021 มีดาวเคราะห์น้อยใกล้โลก(near-Earth asteroids) ที่พบแล้วมากกว่า 26000 ดวงและดาวหางใกล้โลก(near-Earth comets) คาบสั้นอีกร้อยดวง หนึ่งในบรรดาพวกนี้มีโอกาสชนกับโลก และยังมีอีกหลายล้านที่ยังตรวจไม่พบ และบางส่วนก็อาจจะกำลังมุ่งหน้ามาที่โลกแล้ว จนกว่ากล้องโทรทรรศน์ภาคพื้นดินหรือในอวกาศจะตรวจจับวัตถุเร่ร่อนเหล่านี้ได้ โลกก็ยังไม่ได้รับการเตือนภัย เฉกเช่นเดียวกับผู้คนที่ Tall el-Hammam

ไฟไหม้ครั้งใหญ่และคลื่นกระแทกที่เกิดจากหินอวกาศระเบิดบนอากาศเหนือเมือง

เมืองที่ขณะนี้เรียกว่า Tall el-Hammam อยู่ห่างจากเดธซีไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 11 กิโลเมตรอยู่ในประเทศจอร์แดน

ภาพพื้นที่สำรวจส่วนพระราชวัง(ล่าง) เหลือไว้แต่ส่วนที่เป็ฯฐานกำแพง ทำให้นักวิจัยคิดว่าเดิมพระราชวังน่าจะมีความสูงขึ้นไปอีก 4 หรือ 5 ชั้นจากฐาน

นักวิจัยที่พื้นที่ขุดค้น จะเห็นชั้นแห่งการทำลายล้างประมาณครึ่งทางบนกำแพงที่เปิดออกมา

กระดูกมนุษย์ในชั้นแห่งการทำลาย

ภาพจากกล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอนแสดงให้เห็นรอยแตกขนาดเล็กมากมายบนควอทซ์ถูกกระแทก(shocked quartz)

ไดมอนอยด์(กลางภาพ) ภายในหลุมแห่งหนึ่ง ซึ่งก่อตัวขึ้นจากอุณหภูมิและแรงดันที่สูงมากจากไฟร์บอลที่กระทำต่อพืช

สเฟียร์รูลที่เกิดจากทรายที่หลอมเหลว(บนซ้าย) palace plaster(บนขวา) และโลหะที่หลอมละลาย(สองภาพล่าง)

แหล่งข่าว sciencealert.com : giant space rock blast wiped out ancient city with 1000 times Hiroshima’s ferocity
               smithzonianmagazine.com : ancient city’s destruction by exploding space rock may have inspired biblical story of Sodom    
              
scitechdaily.com : Sodom and Gomorrah? Evidence that a cosmic impact destroyed a biblical city in the Jordan valley

No comments:

Post a Comment

EHT สำรวจสนามแม่เหล็กหลุมดำทางช้างเผือก

       ภาพใหม่จากกลุ่มความร่วมมือกล้องโทรทรรศน์ขอบฟ้าสังเกตการณ์ ได้เผยให้เห็นสนามแม่เหล็กที่รุนแรงและเป็นระเบียบรอบๆ ขอบของหลุมดำมวลมหาศาล ...