ดาวหางและดาวเคราะห์น้อยเป็นหินที่อยู่ในอวกาศทั้งคู่ แต่ความแตกต่างของพวกมันก็เป็นไปตามชื่อเรียก ดาวหางโดยปกติจะวิ่งมาจากระบบสุริยะส่วนนอกและมีวงโคจรที่ยาวนานและรี เป็นก้อนน้ำแข็งซึ่งจะเริ่มระเหิด(sublimate) เมื่อดาวหางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ สร้างเป็นชั้นบรรยากาศฝุ่นที่พร่าเลือน(ซึ่งเรียกว่า โคมา; coma) และหางดาวหางที่เป็นที่มาของชื่อพวกมัน
ส่วนดาวเคราะห์น้อยมักจะอยู่ในละแวกแถบดาวเคราะห์น้อยหลัก(main
asteroid belt) ซึ่งอยู่ระหว่างวงโคจรดาวอังคารและดาวพฤหัสฯ
และมีวงโคจรที่คล้ายกับดาวเคราะห์มากกว่า
ยังคิดกันว่าพวกมันค่อนข้างแห้งและเป็นหิน
ดังนั้นจึงไม่น่าจะปล่อยก๊าซอย่างที่พบเห็นในญาติที่สวยงามน่าพิศวงมากกว่าได้
อย่างไรก็ตาม
หินอวกาศที่เพิ่งค้นพบใหม่ก้อนหนึ่ง ดูจะมีคุณลักษณะของวัตถุทั้งสอง (248370)
2005 QN173 อยู่ในแถบหลักเหมือนกับดาวเคราะห์น้อยอื่นๆ
อีกหลายล้านดวง วิ่งไปรอบดวงอาทิตย์ในวงโคจรที่เกือบกลมในสไตล์เดียวกับดาวเคราะห์
แต่มันก็เหมือนกับดาวหาง
เมื่อเดือนกรกฎาคมปีนี้พบว่า 248370 แสดงสัญญาณการปล่อยก๊าซ
เมื่อมันเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด(เรียกจุดดังกล่าวในวงโคจรว่า
perihelion)
และหางดาวหางที่ยาว
นี่น่าจะทำให้มันกลายเป็นลูกผสมซึ่งพบได้ยากของวัตถุทั้งสอง เป็นวัตถุชนิดหนึ่งที่เราเรียกว่าดาวเคราะห์น้อยมีกิจกรรม(active asteroid) หรือดาวหางในแถบหลัก(main-belt comet) มีวัตถุในกลุ่มนี้เพียง 20 ดวงเท่านั้นท่ามกลางวัตถุในแถบหลักที่พบแล้วมากกว่าห้าแสนดวง และเป็นเพียงดวงที่ 8 ที่ยืนยันแล้วว่าเป็นกลุ่มนี้ ยิ่งกว่านั้น นักดาราศาสตร์ยังพบว่าวัตถุนี้มีกิจกรรมสูงกว่าดวงอื่นๆ
พฤติกรรมนี้บ่งชี้อย่างรุนแรงว่ากิจกรรมของมันเกิดขึ้นเนื่องจากการระเหิดของวัสดุสารน้ำแข็ง
Henry Hsieh นักดาราศาสตร์จากสถาบันวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์
กล่าว สามารถนึกถึง 248370 ได้ทั้งเป็นดาวเคราะห์น้อยและดาวหาง
หรือจะให้จำเพาะกว่านั้น ก็คือ
ดาวเคราะห์น้อยในแถบหลักดวงหนึ่งที่เพิ่งจะตระหนักเมื่อเร็วๆ
นี้ว่าก็เป็นดาวหางด้วย มันตรงตามคำนิยามเกี่ยวกับดาวหางในทางกายภาพ
ซึ่งมันน่าจะเป็นน้ำแข็งและกำลังผลักฝุ่นออกสู่อวกาศ
แม้ว่ามันก็ยังมีวงโคจรแบบดาวเคราะห์น้อยอยู่
พฤติกรรมทั้งสองด้านและเส้นแบ่งที่เลือนระหว่างสิ่งที่เคยคิดกันว่าเป็นวัตถุสองชนิดที่แตกออกจากกันได้อย่างสิ้นเชิง(ดาวเคราะห์น้อยและดาวหาง)
น่าจะเป็นส่วนหลักที่ทำให้วัตถุเหล่านี้น่าสนใจเป็นอย่างมาก
ภาพรวมประกอบแสดง
(248370) 2005 QN173 ที่ถ่ายโดยกล้องโทรทรรศน์เฮลที่หอสังเกตการณ์พาโลมาร์ในคาลิฟอร์เนียเมื่อวันที่
12 กรกฎาคม 2021
หัวหรือนิวเคลียสของดาวหางอยู่ทางมุมบนซ้าย
ซึ่งมีหางพาดยาวเฉียงลงมาด้านขวา สลัวและยาวจากนิวเคลียสอย่างมาก
ดาวในพื้นที่สำรวจปรากฏเป็นเส้นจุดสั้นๆ เนื่องจากการเคลื่อนที่ปรากฏของวัตถุในระบบสุริยะเทียบกับดาวที่พื้นหลังและกระบวนการซ้อนรวมภาพหลายภาพเพื่อเพิ่มการมองเห็นหาง
พฤติกรรมของ 248370 ถูกพบในวันที่ 7 กรกฎาคม 2021 ในข้อมูลจากการสำรวจดาราศาสตร์ด้วยหุ่นยนต์ ATLAS(Asteroid
Terrestrial-Impact Last Alert System) การยืนยันการสำรวจทำโดยกล้องโทรทรรศน์โลเวลล์ดิสคัฟเวอรี่
ได้แสดงสัญญาณของหางอย่างชัดเจน และการตรวจสอบกลั่นกรองข้อมูลจาก Zwicky
Transient Facility ก็แสดงหางปรากฏมาตั้งแต่วันที่
11 มิถุนายน
ในระหว่างวันที่ 8 กรกฎาคมถึง 14
สิงหาคม
มีการสำรวจติดตามผลใหม่งานหนึ่งโดยกล้องโทรทรรศน์หลายตัวได้ยืนยันข้อมูลก่อนหน้านี้
ในแถบดาวเคราะห์น้อยหลักนี้เองที่พบว่า 248370 แสดงหางที่สวยงาม
การตรวจสอบโดย Hsieh และทีมเผยให้เห็นว่านิวเคลียสดาวหาง
ซึ่งเป็นก้อนหินที่หางโผล่ออกมา มีขนาดกว้างราว 3.2 กิโลเมตร ในเดือนกรกฎาคม หางก็ยาวไปมากกว่า 720,000
กิโลเมตร(หรือสามเท่าระยะทางจากโลกถึงดวงจันทร์)
แต่กว้างเพียง 1400 กิโลเมตรเท่านั้น
นี่แคบอย่างผิดเพี้ยนเมื่อเทียบกับความยาวของหาง ลองคิดว่าความยาวหางมีขนาดพอๆ
กับความยาวของสนามฟุตบอล หางก็จะกว้างเพียง 10 เซนติเมตรเท่านั้น หางที่แคบอย่างสุดขั้วมากบอกเราว่าอนุภาคฝุ่นกำลังล่องลอยออกจากนิวเคลียสด้วยความเร็วที่ต่ำมากๆ
และการไหลของก๊าซที่หนีออกจากดาวหางซึ่งปกติจะดันฝุ่นออกจากดาวหางสู่อวกาศก็อ่อนแออย่างสุดขั้วด้วย
Hsieh อธิบาย
ความเร็วที่ต่ำเช่นนั้นน่าจะทำให้ยากที่ฝุ่นจะหนีออกจากแรงโน้มถ่วงของนิวเคลียสด้วยตัวมันเองได้
ดังนั้นนี่บอกว่ามีสิ่งอื่นที่อาจจะช่วยให้ฝุ่นหนีออกมาได้ ยกตัวอย่างเช่น
นิวเคลียสอาจจะกำลังหมุนรอบตัวเร็วมากพอที่จะช่วยเหวี่ยงฝุ่นออกสู่อวกาศซึ่งก็ลอยขึ้นมาแล้วจากก๊าซที่หนีออกมา
ยังต้องมีการสำรวจต่อไปเพื่อยืนยันความเร็วการหมุนรอบตัวของนิวเคลียส
การสำรวจต่อไปจะช่วยให้เราเข้าใจวัตถุชนิดนี้ได้ดีขึ้นด้วย
จากการเข้าใจระบบสุริยะของเรา 248370
และดาวหางในแถบหลักอื่นๆ ไม่น่าจะมีอยู่
นั้นเป็นเพราะคิดกันว่าแถบดาวเคราะห์น้อยหลักอยู่มาตั้งแต่การก่อตัวของระบบสุริยะเมื่อราว
4.6 พันล้านปีก่อน
แถบซึ่งอยู่ระหว่าง 2.2 ถึง 3.2
AU จากดวงอาทิตย์ ส่วนเส้นหิมะ(snow
line) ของระบบสุริยะซึ่งเป็นจุดที่เย็นมากพอที่น้ำแข็งจะก่อตัวขึ้นในสูญญากาศได้
ก็อยู่ที่ราว 5 AU ดังนั้นจึงยังไม่แน่ชัดว่าเพราะเหตุใด
ดาวหางในแถบหลักจึงยังรักษาน้ำแข็งได้มากพอที่จะสร้างกิจกรรมการระเหิดแบบดาวหางได้
นอกจากนี้
พวกมันอาจจะช่วยเราให้เข้าใจเกี่ยวกับโลกได้อีกไม่น้อยด้วยเช่นกัน ในช่วงต้นๆ
ของระบบสุริยะ การชนจากดาวเคราะห์น้อยที่มีน้ำ
น่าจะเป็นหนทางหนึ่งที่จะนำส่งน้ำมายังโลก ถ้าดาวหางในแถบหลักมีน้ำอยู่
เราก็อาจจะสามารถศึกษาแนวคิดนี้ต่อไปได้ ในระยะยาวแล้ว 248370
จะเป็นที่ที่ดีในการจับตาดูในระหว่างที่มันเดินทางเข้าใกล้จุดที่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดครั้งต่อไปในวันที่
3 สิงหาคม 2026
นักวิจัยเขียนไว้ในรายงาน
การจับตาดูในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีประโยชน์ล้ำค่าในการยืนยันธรรมชาติกิจกรรมของ248370 ที่อาจปรากฏซ้ำ(recurrent), ระบุวงโคจรที่กิจกรรมจะเกิดขึ้น(ซึ่งมีนัยยะต่อความลึกของน้ำแข็งบนวัตถุเช่นเดียวกับช่วงชีวิตของกิจกรรมนี้),
ตรวจสอบอัตราการสร้างฝุ่น
และเปรียบเทียบระดับกิจกรรมของวัตถุจากวงโคจรหนึ่งกับวงโคจรถัดไป
เช่นเดียวกับกับดาวหางในแถบหลักดวงอื่นๆ ด้วย
ดาวหางแถบหลักดวงแรกถูกพบในปี 2006 โดย Hsieh และ David Jewitt และพบอีกหลายดวงต่อมา งานวิจัยนำเสนอในการประชุมประจำปีครั้งที่ 53
ของแผนกวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์
สมาคมดาราศาสตร์อเมริกัน และเผยแพร่ใน Astrophysical Journal Letters
phys.org : is new finding an asteroid or a comet? It’s both
No comments:
Post a Comment