ดวงจันทร์ของโลกเกิดขึ้นจากการชนครั้งใหญ่ระหว่างโลกเมื่อเพิ่งก่อตัวขึ้นใหม่ กับวัตถุที่มีขนาดพอๆ กับดาวอังคาร นักวิจัยพยายามคลี่คลายรายละเอียดการชนบางส่วนที่ยังคงเป็นปริศนา
นักวิทยาศาสตร์คิดกันมานานแล้วว่าดวงจันทร์ของโลกก่อตัวขึ้นจากการชน เมื่อวัตถุขนาดพอๆ กับดาวอังคารชนกับโลกที่เพิ่งก่อตัวขึ้นใหม่ หลักฐานจากหินดวงจันทร์และแบบจำลองเสมือนจริงสนับสนุนแนวคิดนี้
แต่การศึกษาใหม่ได้บอกว่าดาวเคราะห์ทารกดวงนั้นน่าจะชนกับโลกสองครั้ง
ครั้งแรกวัตถุที่พุ่งชน(ซึ่งเรียกว่า ธีอา; Theia) เพียงชนแบบเฉี่ยวกับโลกไป
จากนั้นอีกหลายแสนปีต่อมา มันก็ย้อนกลับมาชนตูมอีก
การศึกษาซึ่งจำลองการชนที่แทบจะทำลายโลกเป็นเสี่ยงๆ หลายพันครั้งได้พบว่า
ลำดับเหตุการณ์แบบ ชนแล้วหนีและย้อนกลับมา(hit-and-run return) น่าจะช่วยตอบคำตอบที่มีมานาน 2 ข้อเกี่ยวกับการสร้างดวงจันทร์ ในขณะเดียวกัน
มันก็อาจจะอธิบายว่าเพราะเหตุใด โลกและดาวศุกร์จึงลงเอยแตกต่างกันอย่างมาก
ข้อเท็จจริงหลักก็คือ ความหลากหลายของวัตถุ Erik
Asphaug จากศาสตราจารย์ที่ห้องทดลองดวงจันทร์และดาวเคราะห์(LPL)
มหาวิทยาลัยอริโซนา ซึ่งนำการศึกษา
กล่าว ดาวศุกร์และโลกมีขนาด, มวลและระยะทางจากดวงอาทิตย์ที่ใกล้เคียงกัน
ถ้าดาวศุกร์เป็นพิภพร้อนและบดขยี้ เพราะเหตุใด โลกจึงรุ่มรวยและเป็นสีฟ้า
ดวงจันทร์น่าจะเก็บงำความลับไว้ การสร้างมันเป็นเรื่องราวใหญ่ฉากสุดท้ายในการก่อตัวของโลก เมื่อเหตุการณ์หายนะเริ่มเกิดขึ้นกับวิวัฒนาการดาวเคราะห์ของมัน คุณคงไม่เข้าใจว่าโลกก่อตัวได้อย่างไรถ้าไร้ซึ่งความเข้าใจว่าดวงจันทร์ก่อตัวได้อย่างไร Asphaug อธิบาย นี่เป็นส่วนหนึ่งของปริศนาเดียวกัน แบบจำลองเสมือนจริงงานใหม่ซึ่งเผยแพร่ใน Planetary Science Journal ฉบับเดือนตุลาคมโดยฉบับหนึ่งมุ่งเป้าไปที่ดาวศุกร์และโลก และอีกฉบับมุ่งไปที่ดวงจันทร์ของโลก ใจความสำคัญของงานทั้งสองซึ่งผู้เขียนที่นำทีม Asphaug นักวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ ก็คือ จุดที่ถูกมองข้ามอย่างมากว่า การชนครั้งใหญ่ไม่ได้มีศักยภาพที่จะนำไปสู่การควบรวมอย่างที่นักวิทยาศาสตร์เคยเชื่อกัน
เราพบว่าการชนครั้งใหญ่เกือบทั้งหมด
แม้แต่ด้วยความเร็วที่ต่ำ ก็ยังเป็นแบบชนและหนี
นี่หมายความว่าสำหรับดาวเคราะห์สองดวงที่จะควบรวมกันได้
ก่อนอื่นคุณต้องชะลอความเร็วของพวกมันให้ช้าลงในการชนแบบชนแล้วหนี Asphaug กล่าว ถ้านึกถึงการชนครั้งใหญ่
อย่างการชนที่ก่อตัวดวงจันทร์นั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียวจบก็น่าจะผิด
สิ่งที่เป็นไปได้มากกว่าก็คือเกิดการชนสองครั้งซ้อน
จากทฤษฎีการชนใหม่
มีการชนขนาดใหญ่เกิดขึ้นสองครั้งซ้อนโดยมีระยะห่างราว 1 ล้านปี ซึ่งเกี่ยวข้องกับธีอา และโลกในวัยทารก
ในภาพนี้ การชนแล้วหนีที่เสนอขึ้นใหม่แสดงเป็นแบบจำลองสามมิติ แสดงช่วงเวลาประมาณ 1
ชั่วโมงหลังการชน(ครั้งแรก)
ภาพตัดขวางแสดงแกนกลางที่เป็นเหล็กของวัตถุทั้งสอง ธีอา(หรือเกือบทั้งหมดของธีอา)
วิ่งหนีไป ซึ่งน่าจะเกิดการชนตามมาอีกครั้ง
ชิ้นส่วนแรกก็คือความเร็วการชนของธีอา
ถ้าธีอาชนกับโลกของเราเร็วเกินไป มันก็น่าจะระเบิดเป็นพวยพุเศษซากในห้วงอวกาศและกัดกร่อนเนื้อโลกไปมาก
แต่ถ้ามันวิ่งมาช้าเกินไป ผลก็น่าจะดวงจันทร์ที่มีวงโคจรไม่เหมือนกับที่เราเห็นในทุกวันนี้
ทฤษฎีการชนดั้งเดิมไม่ได้อธิบายว่าเพราะเหตุใด
ธีอาซึ่งเดินทางด้วยความเร็วที่เหมาะสมระหว่างความสุดขั้วทั้งสองด้านนั้น
แต่ลำดับเหตุการณ์ใหม่บอกได้ Matthias Meier จากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ในสวิตเซอร์แลนด์
ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการศึกษานี้ กล่าว
เริ่มต้นเมื่อธีอาน่าจะเคยมีความเร็วมากกว่านี้
แต่การชนครั้งแรกน่าจะชะลอมันลงจนมีความเร็วที่เหมาะสมให้เกิดการชนครั้งที่สอง
ปัญหาอีกข้อกับทฤษฎีการชนดั้งเดิมก็คือดวงจันทร์ของเราควรจะประกอบด้วยวัสดุสารดั้งเดิมของธีอาเกือบทั้งหมด
แต่หินดวงจันทร์จากปฏิบัติการอพอลโล่
แสดงว่าโลกและดวงจันทร์มีองค์ประกอบที่เหมือนกันเป๊ะ เมื่อวิเคราะห์ธาตุบางชนิด
แล้วพวกมันเป็นแบบนั้นได้อย่างไรถ้ามาจากวัตถุดิบสองอย่างที่แตกต่างกัน
ลำดับเหตุการณ์การชนครั้งใหญ่แบบเดิมไขปริศนานี้ไม่ได้ Meier กล่าว
ในทางตรงกันข้าม
การชนแล้วหนีแล้วย้อนกลับมาช่วยอธิบายวัสดุสารของโลกและธีอาที่ผสมมากกว่าจากการชนครั้งเดียว
ซึ่งสุดท้ายได้ก่อตัวดวงจันทร์ที่มีองค์ประกอบเคมีคล้ายกับโลกมากขึ้น แม้ Asphaug
และเพื่อนร่วมงานจะไม่ได้แก้ไขความไม่สอดคล้องด้านองค์ประกอบเคมีอย่างหมดจด
แต่ก็บอกว่าแบบจำลองเสมือนจริงชั้นสูงมากขึ้นน่าจะให้ผลที่ดีขึ้น
เคยคิดกันว่าดวงจันทร์ของโลกเป็นผลจากการชนครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง แต่จากทฤษฎีใหม่ เป็นการชนครั้งใหญ่สองครั้งซ้อนซึ่งมีระยะห่างไม่เกิน 1 ล้านปี โดยเกี่ยวข้องกับ ธีอา(Theia) วัตถุที่มีขนาดพอๆ กับดาวอังคาร และโลกในวัยทารก ในภาพ การชนแล้วหนีที่เกิดขึ้นจำลองเป็นสามมิติ เมื่อธีอาชนกับโลกครั้งแรก เป็นการชนแบบถากๆ แล้วก็ผ่านไป เมื่อธีอาและโลกพบกันครั้งที่สอง ธีอามีความเร็วลดลงมากและในการชนก็ทำให้วัตถุทั้งสองผสมวัสดุสารเข้าด้วยกัน ตามที่เห็นในแบบจำลองเสมือนจริง ดวงจันทร์ก่อตัวขึ้นจากดิสก์เศษซากที่ล้อมรอบโลก
โลก vs ดาวศุกร์
การไขปริศนาทฤษฎีการชนครั้งใหญ่ยังไม่ใช่ผลสรุปเดียวที่ได้
แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจอย่างแท้จริงให้กับ Asphaug และทีมมาเมื่อพวกเขาได้เห็นว่าการชนแล้วหนี
ส่งผลต่อดาวศุกร์เมื่อเทียบกับโลก อย่างไรบ้าง ตอนแรกผมคิดว่ามันน่าจะผิดพลาด
เขารำลึก
แบบจำลองเสมือนจริงงานใหม่ได้แสดงว่าโลกที่ยังอายุน้อยดูจะส่งต่อวัตถุชนแล้วหนีของมัน
ไปให้กับดาวศุกร์ ในขณะที่ดาวศุกร์ก็รับแทบทุกอย่างที่มุ่งหน้ามาหามัน
พลวัตนี้น่าจะช่วยอธิบายความแตกต่างอย่างสุดโต่งระหว่างดาวเคราะห์ทั้งสอง
นัยยะอย่างหนึ่งก็คือ
ดาวศุกร์และโลกน่าจะเผชิญชะตากรรมที่แตกต่างกันอย่างมากเมื่อพวกมันเจริญขึ้นเป็นดาวเคราะห์
แม้ว่าพวกมันจะเป็นเพื่อนบ้านถัดไปในระบบสุริยะก็ตาม ในรายงานซึ่งนำโดย Alexander
Emsenhuber ซึ่งทำงานวิจัยนี้ในระหว่างเป็นนักวิจัยหลังปริญญาเอกในห้องทดลองของ
Asphaug และขณะนี้อยู่ที่มหาวิทยาลัยลุดวิกมักซิมิเลียน
ในมิวนิค บอกว่า
โลกอายุน้อยน่าจะทำหน้าที่เป็นตัวชะลอความเร็วให้กับวัตถุที่เพ่นพล่านเข้ามา
ทำให้สุดท้ายพวกมันน่าจะไปชนและติดหนึบอยู่กับดาวศุกร์
เราคิดว่าในช่วงการก่อตัวระบบสุริยะ โลกคงทำหน้าที่เป็นแนวหน้าให้กับดาวศุกร์ Emsenhuber
กล่าว เราพบว่าบ่อยครั้งกว่าที่วัตถุที่พุ่งชนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของดาวศุกร์
แทนที่จะย้อนกลับมาที่โลก มันง่ายกว่าที่จะวิ่งจากโลกไปดาวศุกร์
เมื่อเทียบกับการวกกลับมา(นั้นเป็นเพราะดาวศุกร์อยู่ใกล้ดาวอาทิตย์มากกว่า ซึ่งมีแรงโน้มถ่วงดึงวัตถุเข้ามา)
ดาวเคราะห์หินในระบบสุริยะส่วนในแสดงตามสัดส่วนจริง
จากทฤษฎีการสะสมมวลสารขั้นหลัง(late stage accretion) ดาวอังคารและดาวพุธ(ซ้ายและขวาด้านหน้า)
เป็นสิ่งที่เหลืออยู่จากประชากรดั้งเดิมของตัวอ่อนดาวเคราะห์ที่ชนกัน
และดาวศุกร์และโลกเจริญเติบโตจากการชนครั้งใหญ่ที่เกิดเป็นชุด
งานวิจัยใหม่มุ่งเป้าไปที่การชนครั้งใหญ่แบบชนแล้วหนี
และแสดงว่าโลกทารกน่าจะทำหน้าที่เป็นแนวหน้าที่ชะลอความเร็ววัตถุในการชนและหนีไว้
แต่เป็นดาวศุกร์ในช่วงทารกที่สุดท้ายจะสะสมมวลสารได้บ่อยกว่า
ซึ่งหมายความว่าดาวศุกร์มีโอกาสได้วัตถุจากระบบสุริยะส่วนนอกมากกว่า
ถ้ามีวัตถุพุ่งชนไปจบที่ดาวศุกร์มากขึ้น
พวกมันก็น่าจะเติมวัตถุดิบจากระบบสุริยะส่วนนอกให้กับดาวศุกร์เมื่อเทียบกับโลก
และเนื่องจากวัตถุที่พุ่งชนหนีออกจากโลกไปหาดาวศุกร์ ก็น่าจะเป็นพวกวิ่งเร็ว
ดาวเคราะห์แต่ละดวงจึงน่าจะเผชิญกับการชนที่โดยทั่วไปจะแตกต่างกัน
การค้นพบนี้พลิกเป้าหมายเดิมในการศึกษานี้ไปเลย ถ้าดาวศุกร์เจอกับการชนครั้งใหญ่ๆ
มากกว่าโลก คำถามก็คงไม่ใช่ว่า “เพราะเหตุใดโลกจึงมีดวงจันทร์” อีกต่อไป
แต่กลายเป็น แล้วทำไมดาวศุกร์จึงไม่มีดวงจันทร์
บางทีอาจเป็นเพราะเป็นเหตุการณ์แบบชนแล้วหนีเพียงเหตุการณ์เดียวที่สร้างดวงจันทร์ของโลกขึ้นมา
บางทีก็อาจจะมีหลายเหตุการณ์ แต่มีเหตุผลเดียวกันก็คือดาวศุกร์มีการชนมากกว่าโลก
มันยังสะสมเศษซากจากการชนไว้มากกว่า ซึ่งจะทำลายดวงจันทร์ใดๆ ที่มันเคยมีอยู่
หรือบางที การชนครั้งท้ายๆ บนดาวศุกร์ก็แค่รุนแรงเป็นพิเศษ
การค้นหาคำตอบน่าจะหมายถึงการเดินทางไปดาวศุกร์
ถ้าโลกและดาวศุกร์เคยโดนชนแล้วหนีเหมือนกัน
พื้นผิวของดาวศุกร์ก็น่าจะดูคล้ายกับโลกมากกว่าที่เคยคาดไว้
ถ้าดาวศุกร์มีองค์ประกอบเคมีที่คล้ายกับดวงจันทร์และโลก ก็น่าจะกำจัดปัญหาข้อสุดท้ายที่เหลืออยู่จากทฤษฎีการชนครั้งใหญ่ทิ้งไปได้
ถ้าได้ตัวอย่างจากดาวศุกร์จะเป็นกุญแจสู่การตอบคำถามทั้งหมดเหล่านี้ Asphaug
กล่าวสรุป
phys.org : Earth and Venus grew up as rambunctious planets
space.com : ancient impact that formed Earth’s moon was likely a one-two punch
No comments:
Post a Comment