จากการศึกษาใหม่โดยทีมนักวิจัยนานาชาติบอกว่า อาจจะอีกสักหนึ่งแสนปีที่ดาวซุปเปอร์ยักษ์แดง บีเทลจุส จะดับสิ้นในการระเบิดที่รุนแรง การศึกษาซึ่งนำโดย Meridith Joyce จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย(ANU) ไม่เพียงแต่บอกเส้นทางชีวิตของบีเทลจุสซะใหม่ แต่ยังแสดงว่ามันทั้งเล็กกว่าและอยู่ใกล้โลกมากกว่าที่เคยคิดไว้
บีเทลจุส(Betelgeuse) มักจะเป็นตัวยุ่งยากที่จะระบุสิ่งใดก็ตามด้วยความเที่ยงตรง
ลืมที่หนังสือให้ภาพดาวฤกษ์ดวงหนึ่งว่า
หมุนรอบตัวเป็นทรงกลมที่ค่อนข้างราบเรียบอย่างเป็นระเบียบ
แต่ลองนึกถึงภาพก้อนอะไรสักอย่างที่ยุบๆ พองๆ ได้โดยมีขอบที่เลือนปุกปุย เมื่อมันมีชั้นบรรยากาศที่ซับซ้อนและฟุ้งกระจายอย่างผิดปกติ
จนยากจะระบุว่าพื้นผิวซึ่งจะใช้เพื่อตรวจสอบขนาด เป็นเรื่องที่ยากมากๆ
ในปี 1920 มีการใช้รูปแบบการแทรกสอดในคลื่นแสงเพื่อให้ทราบค่าเส้นผ่าศูนย์กลางเชิงมุมของมัน
ซึ่งเป็นความกว้างของวงแสงบีเทลจุสบนท้องฟ้า ในระดับ 47 มิลลิอาร์ควินาที
และจากระยะทางที่สันนิษฐานว่าน่าจะอยู่ที่ราว 180 ปีแสง
จึงคิดกันในตอนแรกว่าดาวน่าจะเส้นผ่าศูนย์กลางเทียบเท่ากับ 2.5 เท่าระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์ และนับแต่นั้นมา
ก็มีความพยายามมากมายเพื่อตรวจสอบขนาดของมัน แต่เมื่อไม่กี่ปีก่อน
สามารถระบุระยะทางใหม่ของมันได้ที่ 724 ปีแสง
ด้วยขนาด 47 มิลลิอาร์ควินาที
จึงทำให้มันมีเส้นผ่าศูนย์กลางเกิน 1300 เท่าของดวงอาทิตย์
ซึ่งเป็นเส้นผ่าศูนย์กลางที่ถ้านำมันมาวางไว้แทนดวงอาทิตย์จะทำให้บีเทลจุสกลืนดาวเคราะห์ทั้งหมดจนถึงวงโคจรดาวพฤหัสฯ
ตัวเลขเหล่านี้ ซึ่งรวมถึงค่ามวลคร่าวๆ
ซึ่งหลากหลายมาก
ให้ภาพซุปเปอร์ยักษ์แดงดวงนี้เข้าใกล้ช่วงเวลาในชีวิตที่โดยทฤษฎีแล้ว
มันจะยุบตัวลงและระเบิดด้วยแสงสีตระการตาซึ่งน่าจะเห็นได้ด้วยตาเปล่า
Joyce บอกว่าซุปเปอร์ยักษ์ดวงนี้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มดาวนายพราน(Orion)
ได้สร้างความฉงนให้กับนักวิทยาศาสตร์มานาน
แต่หลังสุด มันมีพฤติกรรมที่แปลกประหลาดมาก
โดยปกติแล้วมันเป็นดาวที่สว่างที่สุดดวงหนึ่งบนท้องฟ้า
แต่เราก็สำรวจพบการมืดลงของบีเทลจุส 2 รอบนับตั้งแต่ปลายปี
2019 เป็นต้นมา
สิ่งนี้สร้างข้อสงสัยว่ามันอาจจะใกล้ระเบิดแล้ว
แต่การศึกษาของเราได้ให้คำอธิบายที่แตกต่างออกไป
เราทราบว่าเหตุการณ์การมืดลงครั้งแรกเกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับกลุ่มเมฆฝุ่นก้อนหนึ่ง
เราพบการมืดลงครั้งที่สองที่เกิดขึ้นรุนแรงน้อยกว่า ก็น่าจะเป็นเพราะการหดพอง(pulsation)
ของดาวฤกษ์เอง
นักวิจัยสามารถใช้แบบจำลองอุทกพลศาสตร์(hydrodynamics)
และการไหวสะเทือน(seismic) เพื่อเรียนรู้ให้มากขึ้นเกี่ยวกับฟิสิกส์ที่ขับดันการหดพอง
และได้ภาพที่ชัดเจนมากขึ้นว่าบีเทลจุสกำลังอยู่ในสถานะไหนของชีวิตกันแน่
Shing-Chi Leung ผู้เขียนร่วมจากมหาวิทยาลัยโตเกียว
บอกว่าการวิเคราะห์ได้ยืนยันว่าคลื่นความดัน(pressure waves) หรือจะระบุว่า คลื่นเสียง
เป็นสาเหตุให้เกิดการหดพองของบีเทลจุส ด้วยการใช้ข้อมุลที่รวบรวมโดย Solar
Mass Ejection Imager ในอวกาศ
ทีมวิจัยได้พัฒนาแบบจำลองกิจกรรมของดาวจนสรุปได้ว่าดาวใกล้เคียงวัยเกษียณแค่ไหน
มันกำลังเผาไหม้ฮีเลียมในแกนกลางในตอนนี้
ซึ่งหมายความว่ามันยังไม่ใกล้การระเบิดเลย Joyce กล่าว เราอาจจะรอไปอีก 1 แสนปีก่อนที่มันจะหมดเชื้อเพลิงลงอย่างสิ้นเชิงและมีการระเบิดจะเกิดขึ้น
Laszlo Molnar จากหอสังเกตการณ์กองโกลี ในบูดาเปสต์
ผู้เขียนร่วม กล่าวว่าการศึกษานี้ยังเผยให้เห็นว่าบีเทลจุสมีขนาดใหญ่แค่ไหน
และอยู่ไกลจากโลกแค่ไหน ขนาดทางกายภาพที่แท้จริงของบีเทลจุสนั้นเป็นปริศนาพอสมควร
การศึกษาก่อนหน้านี้บอกว่ามันอาจจะมีขนาดใหญ่กว่าวงโคจรของดาวพฤหัสฯ ผลสรุปของเราบอกว่าบีเทลจุสแผ่ออกไปเพียงสองในสามของระยะวงโคจรดังกล่าวเท่านั้น
โดยมีรัศมีที่ 750 เท่ารัศมีดวงอาทิตย์
และเมื่อเราได้ขนาดทางกายภาพของดาวแล้ว เราก็สามารถตรวจสอบระยะทางถึงโลกได้
ผลสรุปแสดงว่ามันอยู่ที่ 530 ปีแสง
หรือใกล้กว่าที่เคยคิดไว้ 25% แต่ก็ใกล้เคียงกับที่ดาวเทียมฮิพพาร์คัสตรวจสอบระยะทางจากพารัลแลกซ์
ในขณะที่ขัดแย้งกับการตรวจสอบในช่วงวิทยุ
ข่าวดีก็คือบีเทลจุสก็ยังคงอยู่ไกลจากโลกเกินกว่าที่การระเบิดที่จะเกิดขึ้นจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญบนโลกได้
แต่ก็ยังเป็นเรื่องใหญ่เมื่อเกิดซุปเปอร์โนวาขึ้นมา
และนี่ก็เป็นว่าที่ดาวฤกษ์ที่ใกล้ที่สุดที่น่าจะระเบิด
มันช่วยให้เรามีโอกาสอันหาได้ยากในการศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นกับดาวอย่างนี้ก่อนที่จะระเบิด
Joyce กล่าว
นอกจากนี้
ยังมีผลพลอยได้จากการศึกษานี้ก็คือการค้นพบว่าการหมุนรอบตัวและการเคลื่อนที่เมื่อเทียบกับทางช้างเผือกของบีเทลจุส
ไม่สอดคล้องกับช่วงชีวิตการเป็นดาวฤกษ์เดี่ยว
แต่บอกว่ามันจะต้องเคยมีดาวข้างเคียงดวงหนึ่ง
ที่ส่งบีเทลจุสออกจากกระจุกที่มันก่อตัวขึ้น และยังเพิ่มอัตราการหมุนรอบตัวให้ด้วย
แต่การศึกษาไม่ได้ระบุถึงธรรมชาติของดาว(ข้างเคียง) นี้ แต่ถ้ามันมวลสูงกว่าบีเทลจุส(มากกว่า 16.5 ถึง 19 เท่ามวลดวงอาทิตย์)
มันก็น่าจะเป็นซุปเปอร์โนวาไปเรียบร้อยและส่งผลต่อดาวข้างเคียง
การศึกษานี้ได้รับเงินสนับสนุนจากสถาบันคัฟลี่เพื่อฟิสิกส์และคณิตศาสตร์แห่งเอกภพ(WPI),
มหาวิทยาลัยโตเกียว
โดยทีมนานาชาติประกอบด้วยนักวิจัยจากสหรัฐอเมริกา, ฮังการี, ฮ่องกง
และสหราชอาณาจักร เช่นเดียวกับออสเตรเลีย และญี่ปุ่น การศึกษาเผยแพร่ใน Astrophysical
Journal
phys.org : supergiant star Betelgeuse smaller, closer than first thought
sciencealert.com : Betelgeuse is neither as far nor as large as we thought, and it’s a total bummer
iflscience.com : Betelgeuse is closer than we thought – but it’s still not about to explode
No comments:
Post a Comment