ผ่านไปแล้วสามปีนับตั้งแต่การตรวจพบการควบรวมของดาวนิวตรอนครั้งประวัติศาสตร์ผ่านคลื่นความโน้มถ่วง และนับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทีมนักวิจัยนานาชาติที่นำโดยนักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมารีแลนด์ ก็ยังคงจับตาดูการเปล่งแสงต่อมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ภาพที่ครบถ้วนที่สุดของเหตุการณ์ลักษณะนี้
ภาพจากศิลปินแสดงดาวนิวตรอนสองดวงหมุนวนเข้าหากันจนควบรวมกัน สร้างคลื่นโน้มถ่วงในเหตุการณ์ GW 170817 การวิเคราะห์ของทีมซึ่งนำโดย Eleonora
Troja จากมหาวิทยาลัยมารีแลนด์
ได้ให้คำอธิบายสำหรับรังสีเอกซ์ที่ยังคงแผ่ออกจากการชนได้นานกว่าที่แบบจำลองได้ทำนายไว้ว่ามันน่าจะหยุดลง
การศึกษายังเผยให้เห็นแบบจำลองปัจจุบันการชนกันและดาวนิวตรอนและวัตถุขนาดกะทัดรัดอื่นๆ
ว่าขาดแคลนข้อมูลที่สำคัญ งานวิจัยเผยแพร่ในวารสาร Monthly Notices of the
Royal Astronomical Society วันที่ 12
ตุลาคม 2020
เรากำลังเข้าสู่สถานะใหม่ในความเข้าใจดาวนิวตรอนของเรา
Troja ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์วิจัยที่แผนกดาราศาสตร์
มารีแลนด์ และผู้เขียนนำรายงานนี้ กล่าว
เราไม่ทราบเลยว่าจะคาดหวังอะไรต่อไปจากจุดนี้
เนื่องจากแบบจำลองทั้งหมดของเราได้ทำนายว่าจะไม่มีรังสีเอกซ์เหลืออยู่
และเราก็ต้องประหลาดใจที่ได้เห็นมันแม้จะหนึ่งพันวันหลังจากที่มีการตรวจพบการชนเกิดขึ้น
มันอาจจะต้องใช้เวลาหลายปีที่ค้นหาคำตอบว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
แต่งานวิจัยของเราได้เปิดประตูสู่ความเป็นไปได้มากมาย
การควบรวมของดาวนิวตรอนที่ทีมของ Troja
ได้ศึกษาก็คือ GW 170817 ถูกพบผ่านคลื่นความโน้มถ่วงที่ตรวจจับโดย LIGO(Laser
Interferometer Gravitational-wave Observatory) และเครื่องตรวจจับคล้ายๆ
กัน Virgo ในวันที่ 17
สิงหาคม 2017 ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
กล้องโทรทรรศน์ทั่วโลกก็เริ่มสำรวจการแผ่รังสีแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งรวมถึงรังสีแกมมาและแสงที่เปล่งออกจากการระเบิด
เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่นักดาราศาสตร์สามารถสำรวจการแผ่รังสีที่มีความเกี่ยวข้องกับคลื่นความโน้มถ่วงได้
แม้ว่าพวกเขาจะทราบมานานแล้วว่าการแผ่รังสีต้องเกิดขึ้น
ส่วนการสำรวจคลื่นความโน้มถ่วงอื่นๆ ที่พบจนถึงบัดนี้
มีกำเนิดจากเหตุการณ์ที่อ่อนเกินไปและไกลเกินกว่าที่จะตรวจจับการแผ่รังสีในช่วงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้จากโลก
เพียง 1.7 วินาทีหลังจากที่พบ GW 170817 กล้องโทรทรรศน์อวกาศรังสีแกมมาเฟอร์มี่และดาวเทียม
INTEGRAL ของอีซา ได้บันทึกไอพ่นพลังงานซึ่งเปิดฉากขึ้น
ที่เรียกว่า การปะทุรังสีแกมมา(gamma-ray burst) จากนั้น ก็มีการปะทุกิโลโนวา(kilonova) ที่ช้ากว่า เมื่อกลุ่มเมฆก๊าซระเบิดออกมาตามหลังไอพ่นเบิกโรงนี้
แสงจากกิโลโนวาคงอยู่ราว 3 สัปดาห์และจากนั้นก็จางหายไป
ในขณะเดียวกัน 9 วันหลังจากที่ตรวจพบคลื่นความโน้มถ่วง
กล้องโทรทรรศน์ก็สำรวจพบบางสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนก็คือ รังสีเอกซ์
แบบจำลองทางวิทยาศาสตร์ซึ่งมีพื้นฐานจากดาราศาสตร์ฟิสิกส์ที่ทราบกันอยู่
ได้ทำนายว่าเมื่อไอพ่นเบิกโรงจากการชนกันของดาวนิวตรอนเคลื่อนผ่านห้วงอวกาศ
มันจะสร้างคลื่นกระแทกขึ้นมาซึ่งจะเปล่งรังสีเอกซ์, คลื่นวิทยุและแสงช่วงตาเห็น
นี่เป็นสิ่งที่เรียกรวมๆ ว่า การแผ่รังสีไล่หลัง(afterglow) แต่ก็ไม่เคยมีการสำรวจพบการแผ่รังสีไล่หลังมาก่อน
ในกรณีนี้ การแผ่รังสีไล่หลังมีความสว่างสูงสุดราว 160 วันหลังจากที่พบคลื่นความโน้มถ่วงเป็นครั้งแรก
และจากนั้นก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
แต่รังสีเอกซ์กลับยังคงอยู่เมื่อสำรวจครั้งล่าสุดด้วยหอสังเกตการณ์รังสีเอกซ์จันทราในช่วงเวลา
2.5 ปีหลังจากที่ตรวจพบ
GW 170817 ครั้งแรก
หมายเหตุ การสำรวจในเดือนพฤษภาคมโดยใช้ Australian Telescope Compact Array
พบว่าการเรืองรังสีเอกซ์นั้นอยู่ต่ำกว่าระดับการตรวจจับของอุปกรณ์
งานวิจัยใหม่ได้เสนอคำอธิบายที่เป็นไปได้สำหรับการแผ่รังสีเอกซ์ที่มีอายุยาว
ความเป็นไปได้ทางหนึ่งก็คือรังสีเอกซ์เหล่านี้เป็นรายละเอียดใหม่โดยสิ้นเชิงของการแผ่รังสีไล่หลังจากการชน
และพลวัตของการปะทุรังสีแกมมานั้นแตกต่างจากที่เคยคาดไว้
การมีการชนที่เกิดขึ้นใกล้กับเรามากจนเห็นได้
ได้เปิดหน้าต่างสู่กระบวนการทั้งปวงที่เราเข้าถึงได้ยาก Troja ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์วิจัยที่ศูนย์การบินอวกาศกอดดาร์ดด้วย
กล่าว มันอาจจะมีกระบวนการทางกายภาพที่เรายังไม่ได้รวมเข้าไปในแบบจำลองเนื่องจากพวกมันไม่ได้เกี่ยวข้องในสถานะก่อนหน้าที่เราคุ้นเคยมากกว่าคือ
เมื่อไอพ่นก่อตัว
ความเป็นไปได้ทางอื่นก็คือ กิโลโนวาและเมฆก๊าซที่ขยายตัวเบื้องต้นไอพ่นเบิกโรง
อาจจะสร้างคลื่นกระแทกของพวกมันเองซึ่งใช้เวลาเดินทางมาถึงโลกนานกว่า Geoffrey
Ryan นักวิจัยหลังปริญญาเอกที่แผนกดาราศาสตร์มหาวิทยาลัยมารีแลนด์
และผู้เขียนร่วมการศึกษา กล่าวว่า เราได้เห็นกิโลโนวา ดังนั้นเราก็ทราบว่ามีเมฆก๊าซนี้อยู่ที่นั้น
และรังสีเอกซ์จากคลื่นกระแทกของมัน ก็อาจจะเพิ่งมาถึงเรา Troja กล่าวว่า
มีคลื่นกระแทกหลากหลายเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แตกต่างกันและมีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน
ซึ่งอาจจะอธิบายความแตกต่างว่าแสงในช่วงความยาวคลื่นที่แตกต่างกันจางหายอย่างไร
แต่เรายังต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจว่าเรากำลังได้เห็นอะไร
ถ้ามีอยู่ มันอาจจะให้เครื่องมือใหม่ๆ แก่เรา
เป็นสัญญาณของเหตุการณ์ที่เราไม่เคยตระหนักถึงมาก่อน
นี่อาจจะช่วยเราให้พบการชนกันของดาวนิวตรอน
ในการแผ่รังสีเอกซ์ที่บันทึกไว้ก่อนหน้านี้ได้
ความเป็นไปได้ทางที่สามก็คือ
มีบางสิ่งที่เหลือทิ้งไว้หลังจากการชน
บางทีอาจเป็นซากของดาวนิวตรอนที่กำลังเปล่งรังสีเอกซ์
ยังคงต้องการการวิเคราะห์เพิ่มเติมก่อนที่นักวิจัยจะสามารถยืนยันได้แน่นอนว่ารังสีเอกซ์ที่มีอายุยาวนานมาจากไหน
คำตอบบางส่วนอาจจะมาในเดือนธันวาคม 2020 เมื่อกล้องโทรทรรศน์จะเล็งไปที่แหล่งของ
GW 170817 อีกครั้ง(การสำรวจแหล่งครั้งสุดท้ายก็คือเดือนกุมภาพันธ์
2020)
นี่อาจจะเป็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายของแหล่งประวัติศาสตร์นี้ หรือเป็นการเริ่มต้นเรื่องราวใหม่ซึ่งสัญญาณสว่างขึ้นอีกครั้งในอนาคตและอาจจะยังคงเห็นได้ไปอีกหลายสิบปีหรือหลายร้อยปี
Troja กล่าว
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
เหตุการณ์นี้กำลังเปลี่ยนสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับการควบรวมของดาวนิวตรอนและต้องเขียนแบบจำลองขึ้นมาใหม่
แหล่งข่าว phys.org
: astronomers find x-rays lingering years after landmark neutron star collision
sciencealert.com :
astronomers detect eerie glow still radiating from neutron star collision years
later
No comments:
Post a Comment