ดาวแคราะขาว LAWD 37 เป็นดาวที่เผาไหม้จนหมดเชื้อเพลิงในแกนกลาง และกำลังมอดดับ ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 15 ปีแสงเท่านั้น แต่แม้ว่าเตาปฏิกรณ์จะปิดตัวลง แต่ความร้อนที่กักไว้ก็ทำให้พื้นผิวของดาวมีอุณหภูมิถึง 1 แสนองศาเซลเซียส เป็นสาเหตุให้ซากดาวนี้เรืองสว่างไสว ดาวแคระขาวยังมี “ประกายแฉก” เนื่องจากมันสว่างมากจนแสงท่วม CCD detector ของฮับเบิล ซึ่งรบกวนการสำรวจตำแหน่งของดาวพื้นหลัง
เป็นครั้งแรกที่นักดาราศาสตร์ที่ใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล
สามารถตรวจสอบมวลของดาวแคระขาวโดดเดี่ยวดวงหนึ่งได้โดยตรง
นักวิจัยพบว่าดาวแคระขาว(white
dwarf) ซึ่งเป็นซากแกนกลางของดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์ที่มอดดับลง
มีมวลราว 56% ดวงอาทิตย์
นี่สอดคล้องกับการทำนายมวลทางทฤษฎีก่อนหน้านี้
และสอดคล้องกับทฤษฎีปัจจุบันว่าด้วยดาวแคระขาวพัฒนาอย่างไร
ในฐานะที่เป็นผลิตผลสุดท้ายจากวิวัฒนาการดาวฤกษ์ทั่วไป
การสำรวจอันเป็นอัตลักษณ์นี้ได้ให้แง่มุมสู่ทฤษฎีโครงสร้างและองค์ประกอบของดาวแคระขาว
จนกระทั่งปัจจุบันนี้ การตรวจสอบมวลดาวแคระขาวได้มาจากการสำรวจดาวแคระขาวที่อยู่ในระบบดาวคู่
ด้วยการเฝ้าดูการเคลื่อนที่ของดาวสองดวงที่มีวงโคจรร่วมกัน
เป็นฟิสิกส์แบบนิวตันที่ตรงไปตรงมา ซึ่งใช้เพื่อตรวจสอบมวลของพวกมัน อย่างไรก็ตาม
การตรวจสอบเหล่านี้ยังมีความคลาดเคลื่อนถ้าดาวข้างเคียงของดาวแคระขาวนั้น
อยู่ในวงโคจรคาบยาว ในระดับหลายร้อยจนถึงหลายพันปี
การเคลื่อนที่โคจรที่กล้องโทรทรรศน์ตรวจสอบได้จึงเป็นเพียงช่วงเพียงพริบตาในการเคลื่อนที่โคจรของดาวแคระขาว
สำหรับดาวแคระขาวที่ไม่มีคู่หู
นักวิจัยต้องใช้ความช่วยเหลือจากธรรมชาติที่เรียกว่า เลนส์ความโน้มถ่วงแบบจุลภาค(gravitational
microlensing) แสงจากดาวที่พื้นหลังจะถูกบิดเบนได้เล็กน้อย
จากห้วงอวกาศที่บิดเบี้ยวไปด้วยแรงโน้มถ่วงของดาวแคระขาวที่พื้นหน้า
เมื่อดาวแคระขาวผ่านหน้าดาวที่พื้นหลัง
เลนส์แบบจุลภาคจะทำให้ดาวปรากฏขยับไปเล็กน้อยจากตำแหน่งจริงบนท้องฟ้า
ผลสรุปเหล่านี้รายงานในวารสาร Monthly
Notices of the Royal Astronomical Society ผู้เขียนหลักคือ
Peter McGill อดีตสังกัดที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
ในสหราชอาณาจักร และปัจจุบันอยู่ที่มหาวิทยาลัยคาลิฟอร์เนีย ซานตาครูซ McGill
ใช้ฮับเบิลเพื่อตรวจสอบว่าแสงจากดาวที่อยู่ห่างไกลเลี้ยวเบนไปรอบดาวแคระขาวดวงหนึ่งอย่างแม่นยำ
เป็นสาเหตุให้ดาวที่พื้นหลังขยับตำแหน่งปรากฏบนท้องฟ้าไปชั่วคราว
Kailash Sahu จากสถาบันวิทยาศษสตร์กล้องโททรรศน์อวกาศในบัลติมอร์
มารีแลนด์ ผู้นำทีมสำรวจด้วยฮับเบิลงานล่าสุด เป็นคนแรกที่ใช้เลนส์จุลภาคเพื่อตรวจสอบมวลของดาวแคระขาวอีกดวง
Stein 2051B ในปี 2017
แต่แคระดวงนั้นอยู่ในระบบดาวคู่ที่อยู่ห่างจากคู่หู
การสำรวจล่าสุดกับแคระขาว LAWD 37 จึงเป็นอีกก้าวหนึ่งเนื่องจาก
LAWD 37 อยู่ของมันเพียงลำพัง
Sahu กล่าว
ซากที่เหลือจากดาวที่เผาไหม้จนหมดเมื่อ 1
พันล้านปีก่อน LAWD 37 ถูกศึกษาอย่างทะลุปรุโปร่งเนื่องจากมันอยู่ห่างออกไปเพียง
15 ปีแสงในกลุ่มดาวแมลงวัน(Musca)
เนื่องจากดาวแคระขาวดวงนี้อยู่ค่อนข้างใกล้เรา
เราจึงมีข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งเราได้ข้อมูลมาจากสเปคตรัมของมัน
แต่สิ่งที่ขาดก็คือการตรวจสอบมวล McGill กล่าว
ทีมตรวจสอบมวลที่แม่นยำของดาวแคระขาวดวงนี้ได้ต้องขอบคุณปฏิบัติการไกอา(Gaia)
ขององค์กรอวกาศยุโรป(ESA) ซึ่งทำการตรวจสอบตำแหน่งของดาวเกือบ 2 พันล้านดวงอย่างแม่นยำสูงมาก ใช้การสำรวจจากไกอาหลายครั้งเพื่อตามรอยการเคลื่อนที่ของดาว
อ้างอิงจากข้อมูลเหล่านี้ นักดาราศาสตร์ก็สามารถทำนายได้ว่า LAWD 37 น่าจะผ่านหน้าดาวที่พื้นหลังดวงหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน
2019
เมื่อทราบเช่นนี้ จึงใช้กล้องฮับเบิลเพิ่อตรวจสอบอย่างแม่นยำตลอดหลายปีว่า ตำแหน่งปรากฏของดาวที่พื้นหลังเบี่ยงไประหว่างที่ดาวแคระขาวดวงนี้ผ่าน อย่างไรบ้าง เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้ยาก และผลก็น้อยนิด McGill กล่าว ยกตัวอย่างเช่น ขนาดของความเบี่ยงที่เราได้พบก็เหมือนกับการตรวจสอบความยาวของรถยนต์บนดวงจันทร์เมื่อมองจากโลก
เนื่องจากแสงจากดาวที่พื้นหลังสลัวอย่างมาก
ความท้าทายใหญ่สำหรับนักดาราศาสตร์จึงเป็นการสกัดภาพของดาวที่พื้นหลังออกจากแสงจ้าของดาวแคระขาว
ซึ่งสว่างกว่าดาวที่พื้นหลัง 400 เท่า
มีแต่เพียงฮับเบิลที่สามารถทำการสำรวจที่มีความเปรียบต่าง(contrast) สูงเช่นนี้ได้ในช่วงตาเห็น
แม้แต่คุณจะจำแนกว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นหนึ่งในล้าน
แต่ก็ยังยากอย่างสุดขั้วที่จะทำการตรวจสอบเหล่านี้ Leigh Smith จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ กล่าว
แสงจ้าจากดาวแคระขาวอาจทำให้เกิดรอยขีดในทิศทางที่ทำนายไม่ได้
ซึ่งหมายความว่าเราจะต้องวิเคราะห์การสำรวจของฮับเบิลแต่ละครั้งอย่างระมัดระวังมากๆ
และขีดจำกัดของพวกมัน เพื่อจำลองเหตุการณ์และประเมินมวลของ LAWD 37
ความแม่นยำในการตรวจสอบมวลของ LAWD
37 ช่วยให้เราได้ทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างมวล-รัศมีในดาวแคระขาว McGill กล่าว
นี่หมายความว่าการทดสอบทฤษฎีของสสารเสื่อมถอย(degenerate matter; ) ภายใต้สภาวะที่สุดขั้วภายในดาวที่ตายแล้วนี้ McGill
กล่าวเสริม
นักวิจัยบอกว่าผลสรุปได้เปิดประตูสู่การทำนายเหตุการณ์จากข้อมูลไกอาในอนาคต
นอกเหนือจากฮับเบิลแล้ว การเรียงตัวเหล่านี้ยังสามารถตรวจจับได้โดยกล้องเวบบ์ด้วย
เนื่องจากเวบบ์ทำงานในช่วงอินฟราเรด
แสงเรืองสีฟ้าจากดาวแคระขาวที่พื้นหน้าในช่วงอินฟราเรดจึงสลัวลง
และดาวที่พื้นหลังก็จะดูสว่างขึ้น จากพลังในการทำนายของไกอา Sahu กำลังสำรวจดาวแคระขาวอีกดวง LAWD 66 ด้วยเวบบ์ การสำรวจแรกทำขึ้นในปี 2022 จะมีการสำรวจเพิ่มเติมเพื่อการเบี่ยงภาพจะเกิดสูงสุดในปี
2024 และจากนั้นก็จะค่อยๆ
ลดลง
ไกอาเป็นตัวเปลี่ยนเกมที่แท้จริง
น่าตื่นเต้นที่สามารถใช้ข้อมูลของไกอาเพื่อทำนายว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นเมื่อใด
และจากนั้นก็สำรวจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นได้ McGill กล่าว
เราต้องการจะทำการตรวจสอบปรากฏการณ์เลนส์ความโน้มถ่วงแบบจุลภาคต่อไป
และทำการตรวจสอบมวลกับดาวชนิดอื่นๆ ด้วย
ในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปเมื่อปี 1915
ไอน์สไตน์ทำนายว่าเมื่อวัตถุมวลสูงขนาดเล็กผ่านหน้าดาวฤกษ์ที่พื้นหลัง
แสงจากดาวก็น่าจะเลี้ยวไปรอบๆ วัตถุที่พื้นหน้า
เนื่องจากห้วงกาลอวกาศที่บิดโค้งโดยสนามแรงโน้มถ่วง และในปี 1919 ทีมสำรวจซึ่งนำโดยอังกฤษ 2 ทีมมุ่งหน้าสู่ซีกโลกใต้
เป็นคนกลุ่มแรกที่ตรวจพบผลการเกิดเลนส์นี้ในระหว่างสุริยุปราคาเต็มดวงเมื่อวันที่ 19
พฤษภาคม
จึงถูกยกย่องว่าเป็นครั้งแรกที่มีการพิสูจน์สัมพัทธภาพทั่วไปด้วยการทดลอง
ซึ่งบอกว่าแรงโน้มถ่วงทำให้อวกาศบิดโค้งได้
อย่างไรก็ตาม
ไอน์สไตน์เองก็สงสัยว่าปรากฏการณ์จะสามารถใช้กับดาวนอกระบบสุริยะของเราได้หรือไม่
เนื่องจากต้องการความแม่นยำ
การตรวจสอบของเราผลปรากฏการณ์เลนส์ที่มีขนาดเล็กกว่าที่พบในสุริยุปราคาปี 1919
ถึง 625 เท่า McGill กล่าว
แหล่งข่าว esa_hubble.org
: for the first time Hubble directly measures the mass of a lone white
dwarf
hubblesite.org :
for the first time Hubble directly measures the mass of a lone white dwarf
No comments:
Post a Comment