ซากดาวดวงหนึ่งซึ่งระเบิดเมื่อ 36 ปีก่อนอยู่ภายใต้สายตาที่ตรวจสอบของกล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์เวบบ์
และกล้องอินฟราเรดใกล้ของเวบบ์ ได้จับเศษซากดาวที่ขยายตัวออกมาด้วยความละเอียดที่เกินคาดฝัน
เผยให้เห็นรายละเอียดใหม่เอี่ยมในซากซุปเปอร์โนวาชื่อก้องนี้
SN 1987A เป็นซุปเปอร์โนวาที่ใกล้ที่สุดเท่าที่เคยพบนับตั้งแต่ซุปเปอร์โนวาของเคปเลอร์(Kepler’s
Supernova) ซึ่งระเบิดในทางช้างเผือกของเราเมื่อปี
1604 การระเบิดถูกพบในปี
1987 ซึ่งเป็นที่มาของชื่อตามบัญชี
การระเบิดเกิดขึ้นไกลออกไป 168000 ปีแสงในกาแลคซีเมฆมาเจลลันใหญ่(Large
Magellanic Cloud) และเป็นการระเบิดจบชีวิตของดาวฤกษ์ซุปเปอร์ยักษ์สีฟ้า
ซึ่งมีชื่อว่า Sanduleak-69 202 ก่อนการระเบิด
คิดกันว่าดาวดวงดังกล่าวมีมวลราว 20 เท่าดวงอาทิตย์
ซุปเปอร์โนวานี้สว่างอย่างมาก
ในความเป็นจริงแล้ว สามารถมองเห็นมันได้ด้วยตาเปล่าจากซีกฟ้าใต้
และนักดาราศาสตร์ก็ตามรอยเศษซากการระเบิดที่ขยายตัวมานับแต่นั้น ขณะนี้
กล้องเวบบ์ได้เล็งเป้าไปที่ซากซุปเปอร์โนวาในการศึกษาที่นำโดย Mikako
Matsuura จากมหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์
สหราชอาณาจักร
โครงการของ Matsuura ใช้กล้องเวบบ์เพื่อตรวจสอบคลื่นกระแทก(shockwave)
ของซุปเปอร์โนวาที่กำลังขยายตัว
เมื่อคลื่นดังกล่าวมีปฏิสัมพันธ์กับวัสดุสารที่อยู่รอบๆ
เมื่อดาวมวลสูงอย่างซุปเปอร์ยักษ์สีฟ้า ใกล้ถึงจุดจบชีวิต
พวกมันจะเริ่มไม่เสถียรและเริ่มสาดวัสดุสารจำนวนมากออกมา
กล้องฮับเบิลเคยเฝ้าดูคลื่นกระแทกที่ขยายตัวจาก SN 1987A มาก่อน ซึ่งเดินทางด้วยความเร็วราว 7000 กิโลเมตรต่อวินาที
วิ่งไล่ทันจนชนกับวงแหวนวัสดุสารที่ดาวผลักออกมาก่อนระเบิดราว 2 หมื่นปี เมื่อคลื่นชนกับวงแหวนนี้
มันก็ชะลอความเร็วเหลือ 2300 กิโลเมตรต่อวินาที
ก้อนฝุ่นภายในวงแหวนนี้ก็ค่อยๆ สว่างขึ้น
ปรากฏคล้ายกับไข่มุกเรียงรายบนเส้นคอ และยังมีวงแหวนอื่นอีก 2 วงที่อยู่ในระนาบที่แตกต่างจากวงแหวนหลักด้วย
ซึ่งบางกว่าและสลัวกว่า และจึงเป็นปริศนามากกว่า
นักดาราศาสตร์สงสัยว่าวงแหวนเหล่านี้อาจจะเป็นตำแหน่งที่ลมดวงดาว(stellar
wind) จากดาวต้นกำเนิดซุปเปอร์โนวา
พัดโบกออกมาก่อนระเบิดและมีปฏิสัมพันธ์กับวัสดุสารที่ดาวผลักออกมาก่อนหน้า
ในอีกทางหนึ่ง
พวกมันก็อาจจะสว่างขึ้นจากการอาบไอพ่นจากดาวนิวตรอนที่ยังมองไม่เห็น
ซึ่งผู้เชี่ยวชาญคาดว่าจะต้องก่อตัวขึ้นพร้อมกับที่ระเบิดซุปเปอร์โนวา
ซึ่งกล้องเวบบ์ได้เผยให้เห็นรายละเอียดใหม่ในส่วนนี้
โดยแสดงว่าคลื่นกระแทกได้ขยายตัวเกินจากวงแหวนหลัก
และกลับมามีความเร็วเพิ่มขึ้นที่ 3600 กิโลเมตรต่อวินาที
ในขณะที่สร้างจุดร้อนใหม่ๆ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปก็น่าจะสว่างพอๆ
กับก้อนฝุ่นสว่างที่เคยจำแนกไว้ก่อนหน้านี้
ยังพบการเปล่งคลื่นสลัวๆ
ด้วยซึ่งเกิดเมื่อคลื่นการระเบิดจากซุปเปอร์โนวากระตุ้นก๊าซรอบๆ พื้นที่ระเบิด
นอกจากนี้ กล้องเวบบ์ยังพบสิ่งที่ใหม่เอี่ยม อยู่ภายในวงแหวนหลักซึ่งมีก๊าซและฝุ่นก่อตัวเป็นเมฆซากที่มีรูปร่างคล้ายรูกุญแจ
มีวงโค้งหรือวงเสี้ยว 2 วง
รายละเอียดเหล่านี้ทีมบอกว่านี่จะเป็นชั้นก๊าซส่วนนอกสุดที่ซุปเปอร์โนวาระเบิดออกมา
เรากำลังมองวงเสี้ยวซากก๊าซนี้ด้วยมุมเอียงระดับหนึ่ง
ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ของการสว่างขึ้นของขอบ(limb brightening) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ประหลาดในช่วงตาเห็นซึ่งเป็นผลจากการมองวัสดุสารที่กำลังขยายตัวในแบบสามมิติ
หรือพูดอีกอย่างว่า
มุมการมองของมันทำให้มันปรากฏเสมือนว่ามีวัสดุสารในวงเสี้ยวทั้งสองมากกว่าที่เป็นจริง
แม้ว่าจะศึกษา SN 1987A มาหลายสิบปีนับตั้งแต่ที่พบซุปเปอร์โนวาครั้งแรก
แต่ก็ยังมีปริศนาโดยเฉพาะสำรวจหาดาวนิวตรอนที่ใจกลางการระเบิด
ซึ่งยังมองไม่เห็นเลย
แต่ก็มีหลักฐานทางอ้อมของดาวนิวตรอนนี้ในรูปของการเปล่งรังสีเอกซ์ที่ตรวจจับได้โดยหอสังเกตการณ์จันทราและ
NuSTAR เช่นเดียวกับการสำรวจจาก
ALMA ซึ่งบ่งชี้ว่าดาวนิวตรอนน่าจะซ่อนอยู่ภายในก้อนฝุ่นก้อนหนึ่งที่ใจกลางซากแห่งนี้
ก้อนฝุ่นในใจกลางเหล่านี้มีความหนาแน่นสูงมากจนแม้กระทั่งแสงอินฟราเรดใกล้ที่เวบบ์ตรวจจับได้
ยังเล็ดลอดออกมาไม่ได้ จึงมีรูปร่างเป็น รูสีมืดในก้อนรูปรูกุญแจ
เช่นเดียวกับกล้องสปิตเซอร์
กล้องเวบบ์จะจับตาดูซากซุปเปอร์โนวานี้พัฒนาตัวไป
เครื่องมือ NIRSpec และ MIRI
จะช่วยให้นักดาราศาสตร์ตรวจจับข้อมูลอินฟราเรดที่เฝ้าศึกษามานาน
และได้เงื่อนงำใหม่ๆ สู่โครงสร้างวงเสี้ยวมาเพิ่งพบใหม่ ยิ่งกว่านั้น
กล้อวเบบ์จะยังคงร่วมมือกับกล้องฮับเบิล, จันทรา และหอสังเกตการณ์อื่นๆ
เพื่อให้ข้อมุลใหม่ๆ สู่อดีตและอนาคตของซุปเปอร์โนวาอันเป็นตำนานแห่งนี้
แหล่งข่าว space.com
: James Webb Space Telescope snaps stunning view of supernova’s expanding
remains
nasa.gov : Webb reveals
new structures within iconic supernova
No comments:
Post a Comment