ภาพแสดงว่าดาวพฤหัสฯ จะมีสภาพอย่างไรถ้ามันมีวงแหวนเหมือนกับวงแหวนของดาวเสาร์
เพราะเหตุใด
ดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะจึงมีวงแหวนที่บางเฉียบ
งานวิจัยใหม่ได้แสดงว่าอาจจะต้องโทษที่ดวงจันทร์ของดาวพฤหัสฯ เอง
ธรรมชาติอนุญาตให้ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะมีวงแหวนแบบแกร๊นๆ
วงแหวนของดาวเสาร์เป็นหนึ่งในรายละเอียดที่พิเศษสุดในระบบสุริยะนับตั้งแต่ที่มีการประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ขึ้นมา
แต่ไม่เคยมีใครที่พบว่าดาวพฤหัสฯ เองก็มีระบบวงแหวนของมัน จนกระทั่งยานวอยยาจเจอร์
1(Voyager 1) บินผ่านดาวพฤหัสฯ
ในวันที่ 5 มีนาคม 1979
เพราะเหตุใด
วงแหวนของดาวเสาร์ซึ่งมีมวลเพียงหนึ่งในสามของดาวพฤหัสฯ
จึงมีวงแหวนที่ใหญ่กว่าวงแหวนรอบดาวเคราะห์ยักษ์ใหญ่กว่ามันได้ อย่างน้อย
คำตอบส่วนหนึ่งก็อาจจะเพราะมีดวงจันทร์วงในสุดของดาวพฤหัสฯ 3 ดวงมาขวางทาง
แบบจำลองคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับดวงจันทร์กาลิเลโอ(Galilean moons) ได้แสดงว่ากำทอนแรงโน้มถ่วงเดียวกันกับที่รักษาให้
ไอโอ(Io), ยูโรปา(Europa) และกานิมีด(Ganymede) อยู่ในกำทอนการโคจร 4:2:1 ก็ยังลดขนาดวงโคจรฝุ่นในแนวศูนย์สูตร
ซึ่งน่าจะสร้างวงแหวนขึ้นมา
ผมมักจะสงสัยเสมอว่าเพราะเหตุใดดาวเสาร์จึงมีวงแหวนที่โอ่อ่า Stephen
Kane จากมหาวิทยาลัยคาลิฟอร์เนีย
ริเวอร์ไซด์ กล่าว ถ้าดาวพฤหัสฯ มีวงแหวน
เราก็คงเห็นวงแหวนที่สว่างกว่าเนื่องจากดาวพฤหัสฯ อยู่ใกล้เรามากกว่าดาวเสาร์ เพื่อที่จะค้นหาว่าเพราะเหตุใดวงแหวนของดาวพฤหัสฯ
จึงเทียบไม่ได้เลย หรือครั้งหนึ่งดาวพฤหัสฯ อาจจะเคยมีวงแหวนและสูญเสียมันไป
เป็นไปได้ว่าโครงสร้างวงแหวนอาจจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว
Kane และนักศึกษา Zhexing Li จากยูซี ริเวอร์ไซด์ เช่นกัน
ได้พัฒนาแบบจำลองคอมพิวเตอร์เพื่อดุว่าดวงจันทร์กาลิเลโอทั้งสี่ของดาวพฤหัสฯ
ส่งผลต่อวงแหวนฝุ่นหนารอบดาวเคราะห์อย่างไรบ้าง
วงแหวนมีพลวัตของมัน รูปร่างและขนาดของวงแหวนในช่วงเวลาจำเพาะหนึ่งๆ
จะขึ้นอยู่กับมวลของดาวเคราะห์ที่วงแหวนโคจร และความเป็นมาของดวงจันทร์ที่โคจรรอบดาวเคราะห์
ภายในจุดที่เรียกกันว่า ขีดจำกัดโรช(Roche limit) แรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์จะเป็นตัวกำกับ
ป้องกันไม่ให้ดวงจันทร์ก่อตัวขึ้นมาและฉีกดวงจันทร์ใดๆ ที่วิ่งเข้ามาใกล้เกินไป
จึงมีวงแหวนก่อตัวขึ้นแทนที่ วงแหวนที่สว่างที่สุดของดาวเสาร์ ก็อยู่ในขีดจำกัดโรช
เช่นเดียวกับวงแหวนเกือบทั้งระบบของดาวพฤหัสฯ
แต่วงแหวนก็ก่อตัวขึ้นนอกขีดจำกัดโรชได้เช่นกัน อย่างที่เห็นรอบๆ
ทั้งดาวเสาร์และดาวพฤหัสฯ ในจุดนั้นแรงโน้มถ่วงของดวงจันทร์จะแสดงบทบาท ทีมของ Kane
พบว่าวงโคจรของดวงจันทร์ขนาดใหญ่วงในสุด
3 ดวงของดาวพฤหัสฯ
คือ ไอโอ, ยูโรปา และกานิมีดซึ่งถูกจับไว้ในกำทอนการโคจรที่แน่นหนา กล่าวคือ
ไอโอโคจรรอบดาวพฤหัสฯ ครบ 4 รอบและยูโรปาโคจรครบสองรอบ
ในทุกๆ รอบที่กานิมีดโคจรครบหนึ่งรอบ หมายเหตุ ดวงจันทร์กาลิเลโอดวงนอกสุดคือ
คัลลิสโต(Callisto) อยู่ในกำทอนที่แตกต่างออกไป
คือ ถูกจับไว้ด้วยแรงบีบฉีก(tidal locked) จนมันหันด้านเดียวด้านเดิมเข้าหาดาวพฤหัสฯ
ตลอดวงโคจร เหมือนกับที่ดวงจันทร์ของโลกหันด้านเดียวเข้าหาเรา
แบบจำลองคอมพิวเตอร์ของ Kane แสดงว่ากำทอนระหว่างดวงจันทร์วงในน่าจะกวาดฝุ่นใดๆ
ที่มีออกจากขีดจำกัดโรช ตั้งแต่ยอดเมฆของดาวเคราะห์จนถึงระยะ 28 เท่ารัศมีดาวพฤหัสฯ ภายในเวลา 1 ล้านปี จะมีเพียงวงแหวนบางๆ(ringlet) ไม่กี่วงที่คงอยู่ในพื้นที่เหล่านั้นได้
บางวงก็อยู่ระหว่างวงโคจรของกานิมีด-คัลลิสโต
และบางส่วนก็อยู่ใกล้วงโคจรของคัลลิสโต และเมื่อ Kane และ Li ขยายเวลาในแบบจำลองไปเป็น
10 ล้านปี
วงแหวนบางๆ ก็หายไปด้วย
กำทอนการโคจรระหว่างกานิมีดกับคัลลิสโต
น่าจะกวาดวัสดุสารออกไปเลย 29 เท่ารัศมีดาวพฤหัสฯ
เลยวงโคจรคัลลิสโตออกไป ภายในเวลาไม่กี่สิบล้านปี ทีมรายงานไว้ใน Planetary
Science Journal ในขณะที่ Kane
บอกไว้ว่าดวงจันทร์ส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อยในขีดจำกัดโรช
แต่ก็เป็นไปได้ที่สนามแม่เหล็กของดาวพฤหัสฯ ซึ่งไม่ได้รวมไว้ในแบบจำลองนี้
ก็อาจจะป้องกันไม่ให้วัสดุสารก่อตัวขึ้นภายในนั้นด้วย
ดวงจันทร์กาลิเลโอของดาวพฤหัสฯ
ซึ่งเป็นกลุ่มดวงจันทร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะน่าจะทำลายวงแหวนขนาดใหญ่ใดๆ
ที่อาจจะก่อตัวขึ้นได้อย่างรวดเร็วมาก ด้วยเหตุนี้ ดาวพฤหัสฯ
จึงไม่น่ามีวงแหวนขนาดใหญ่ในอดีตเลย ดาวเคราะห์ยักษ์ที่ก่อตัวดวงจันทร์ยักษ์
ก็ทำให้พวกมันเองมีวงแหวนไม่ได้ Kane กล่าว
ดาวเคราะห์ยักษ์ทั้งสี่ในระบบสุริยะในความเป็นจริงแล้วก็มีระบบวงแหวนทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม วงแหวนของดาวพฤหัสฯ
และเนปจูนนั้นเบาบางมากจนยากที่จะมองเห็นด้วยเครื่องมือดูดาวแบบดั้งเดิม วงแหวนเบาบางของดาวพฤหัสฯ
ในปัจจุบันประกอบขึ้นด้วยฝุ่นเกือบทั้งหมดซึ่งผลักออกจากดวงจันทร์บางส่วน
บางทีอาจจะมีวัสดุสารที่ถูกโยนออกสู่อวกาศจากการชน ในทางตรงกันข้าม
วงแหวนของดาวเสาร์เป็นน้ำแข็งเกือบทั้งหมด
ซึ่งก็อาจเป็นชิ้นส่วนจากดาวหางหรือดาวเคราะห์น้อย
หรือดวงจันทร์น้ำแข็งดวงหนึ่งซึ่งอาจแตกออกอันเนื่องจากแรงโน้มถ่วงของดาวเสาร์
หรือชนแล้วสาดเศษซากออกมาก่อตัวเป็นวงแหวน
ต่อไป Kane ก็นำไปเปรียบเทียบกับวงโคจรของยูเรนัส ในขณะที่วงแหวนของมันไม่ได้สว่างเหมือนกับวงแหวนของดาวเสาร์
แต่ก็เป็นระบบวงแหวนที่ถูกสำรวจเป็นลำดับต่อไป ในหมู่ดาวเคราะห์ยักษ์
และพวกมันก็หนาพอที่จะบังดาวฤกษ์ที่อยู่ห่างไกลได้
ผู้สังเกตการณ์สามารถใช้การบังดาว(occultation) เหล่านี้เพื่อตรวจสอบวงแหวน
เราไม่เข้าใจประวัติทางพลวัตของวงแหวนยูเรนัส Kane บอก นั้นเป็นเพราะมันเอียงข้าง
โดยที่ศูนย์สูตรตั้งฉากกับระนาบการโคจรรอบดวงอาทิตย์
บางทีอาจจะเกิดจากการชนครั้งใหญ่เมื่อนานมาแล้ว ซึ่งวงแหวนก็อาจเป็นสิ่งที่เหลือจากการชนนี้
การศึกษาดวงจันทร์และวงแหวนของยูเรนัสก็น่าจะช่วยทดสอบทฤษฎีนี้
การสำรวจหาวงแหวนรอบดาวเคราะห์นอกระบบก็อาจจะให้การทดสอบพิเศษ
แต่ก็ต้องใช้การถ่ายภาพโดยตรง(direct imaging) ซึ่งก็เกินเลยเทคโนโลจีปัจจุบันนอกจากทำกับเป้าหมายดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้มากที่สุดเท่านั้น
นอกจากความสวยงาม
วงแหวนช่วยนักดาราศาสตร์ให้เข้าใจความเป็นมาของดาวเคราะห์
เนื่องจากพวกมันมักจะให้หลักฐานการชนกับดวงจันทร์หรือดาวหางซึ่งเกิดขึ้นในอดีต
รูปร่าง, ขนาด รวมถึงองค์ประกอบของวัสดุสารในวงแหวน
ก็ให้ข้อบ่งชี้เกี่ยวกับชนิดของเหตุการณ์ที่ก่อตัววงแหวนขึ้น
และวงแหวนก็ไม่ได้จำกัดแค่รอบๆ
ดาวเคราะห์เท่านั้น วัตถุขนาดเล็กดวงหนี่งที่เรียกว่า ชาริโคล(Chariklo) ซึ่งมีความกว้างราว 230 กิโลเมตร โคจรอยู่ระหว่างดาวพฤหัสฯ กับยูเรนัสเอง
ก็มีระบบวงแหวนของมัน เช่นเดียวกับดาวเคราะห์แคระ เฮามี(Haumea) ซึ่งอยู่ในแถบไคเปอร์(Kuiper Belt) ร่วมกับพลูโต แบบจำลองเสมือนจริงบอกว่าวงแหวนรอบๆ
วัตถุน้ำแข็งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด
เนื่องจากปฏิสัมพันธ์แรงโน้มถ่วงจะดันน้ำแข็งออกจากพื้นผิววัตถุดังกล่าว
ก่อตัวเป็นวงแหวนล้อมรอบ
ดาวอังคารเองก็อาจจะมีวงแหวน
เมื่อดวงจันทร์โฟบอส(Phobos) ของมันกำลังขยับเข้าใกล้ดาวเคราะห์แดงทีละนิด
ในอีกหนึ่งร้อยล้านข้างหน้า มันจะเข้าใกล้มากพอที่แรงโน้มถ่วงดาวอังคารจะฉีกมันออก
ก่อตัวเป็นวงแหวนที่มีอายุสั้น ซึ่งสุดท้ายก็จะรวมตัวกลับเป็นดวงจันทร์อีกครั้ง Kane
กล่าวว่า สำหรับเราเหล่านักดาราศาสตร์
วงแหวนก็เหมือนรอยเลือดสาดบนกำแพงในเหตุฆาตกรรม
เมื่อเราตรวจสอบวงแหวนดาวเคราะห์ยักษ์
ก็เป็นหลักฐานว่าบางสิ่งถูกทำลายและทิ้งวัสดุสารไว้ที่นั้น
แหล่งข่าว skyandtelescope.com
: why are Jupiter’s rings so thin?
phys.org : why Jupiter
doesn’t have rings like Saturn
space.com : Jupiter’s
rings may be so puny because of the planet’s massive moons
sciencealert.com : now we
know why Jupiter doesn’t have big, glorious rings like Saturn
No comments:
Post a Comment