ภาพเร่งสีอินฟราเรดโดย
Anthony Wesley แสดงจุดแดงใหญ่(Great Red Spot) ดาวพฤหัสฯ ที่กำลังหมุนเชื่อมกับแถบศูนย์สูตรใต้(South
Equatorial Belt) ซึ่งมีวัสดุสารสีแดงที่ดึงออกมาจากพายุ credit: Anthony Wesley
จุดแดงใหญ่(Great Red Spot) ของดาวพฤหัสฯ
ซึ่งเป็นพายุลูกเขื่องความเร็วสูงเกิดการปะทะแต่ก็ไม่ถูกทำลายโดยพายุแอนตี้ไซโคลนลูกเล็กๆ
จำนวนมากที่ชนกับมันในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พายุขนาดเล็กกว่าเป็นสาเหตุให้ก้อนเมฆสีแดงฉีกออกมาเป็นสะเก็ด
ทำให้พายุลูกใหญ่หดตัวลง
แต่การศึกษาใหม่ได้พบว่าการรบกวนเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต่ออายุ
แม้ว่าเราจะมองเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นแต่ก็เกิดเพียงกับผิวของจุดแดงใหญ่เท่านั้น
ไม่ได้ส่งผลลึกแต่อย่างใด
การศึกษาใหม่ที่เผยแพร่ใน Journal of
Geophysical Research: Planets ซึ่งเป็นวารสารของสหพันธ์ธรณีฟิสิกส์อเมริกัน(AGU)
เพื่องานวิจัยการก่อตัวและวิวัฒนาการของดาวเคราะห์,
ดวงจันทร์และวัตถุในระบบสุริยะ และเลยออกไป Agustin Sanchez-Lavega ศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์ประยุกต์
ที่มหาวิทยาลัยประเทศบาส์ก ในบิลเบา สเปน ผู้เขียนนำการศึกษาใหม่ กล่าวว่า สภาพลมวนที่รุนแรง(ของจุดแดงใหญ่)
พร้อมกับขนาดและความลึกที่มากกว่าของมัน
เทียบกับพายุหมุนที่เข้ามามีปฏิสัมพันธ์ด้วยแล้ว เป็นตัวต่ออายุให้มัน เมื่อพายุขนาดใหญ่กว่าดูดกลืนพายุขนาดเล็กเหล่านี้
มันจะได้พลังงานจากพลังงานการหมุนรอบตัวที่เปลี่ยนมือมาให้
จุดแดงใหญ่มีขนาดที่หดตัวอย่างน้อยก็ในช่วง 150
ปีหลังนี้ โดยลดขนาดจากความกว้างราว 40000
กิโลเมตรในปี 1879 มาเป็น 15000 กิโลเมตรในทุกวันนี้ และนักวิจัยก็ยังคงไม่แน่ใจถึงสาเหตุที่มันมีขนาดเล็กลง
หรือจุดนี้ก่อตัวขึ้นอย่างไรในตอนแรกเริ่มสุด
การค้นพบใหม่ได้แสดงว่าพายุแอนตี้ไซโคลนขนาดเล็กอาจจะกำลังช่วยรักษาจุดแดงใหญ่ไว้
Timothy Dowling ศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์และดาราศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยหลุยสวิลล์
ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นบรรยากาศดาวเคราะห์
แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการศึกษาใหม่นี้ กล่าวว่า
มันเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นสำหรับจุดแดงใหญ่
ก่อนปี 2019 จุดแดงใหญ่ถูกชนโดยแอนตี้ไซโคลนเพียงสองสามลูกในแต่ละปีเท่านั้น
ในขณะที่เร็วๆ นี้มันถูกชนโดยพายุจำนวนมากถึงสองโหลต่อปี Sanchez-Lavega และเพื่อนร่วมงานสงสัยว่าพายุขนาดเล็กกว่าเหล่านี้จะรบกวนการหมุนรอบตัวของจุดแดงใหญ่หรือไม่
รายละเอียดที่เป็นเอกลักษณ์ของดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์ดวงนี้อยู่ในพื้นที่ศูนย์สูตร ทำให้พายุบนโลกมีขนาดจิ๋วไปเลยเมื่อเทียบกับพายุเกรี้ยวกราดขนาดหลายเท่าโลกซึ่งยืนยันการค้นพบครั้งแรกอย่างน้อยเมื่อ 150 ปีก่อน แม้ว่าการสำรวจในปี 1665 ก็อาจจะเป็นพายุลูกเดียวกัน จุดแดงใหญ่มีขนาดประมาณสองเท่าเส้นผ่าศูนย์กลางโลก และพัดด้วยความเร็วสูงถึง 540 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตามแนวรอบวงพายุ
จุดแดงใหญ่นั้นเป็นต้นแบบของพายุหมุนในชั้นบรรยากาศดาวเคราะห์ทั้งปวง
Sanchez-Lavega กล่าวเสริมว่า
พายุนี้ยังเป็นหนึ่งในรายละเอียดที่เขาชื่นชอบในชั้นบรรยากาศดาวเคราะห์ด้วย
พายุไซโคลน(cyclone) อย่างเฮอริเคน(hurricane) หรือไต้ฝุ่น(typhoon) โดยปกติจะหมุนไปรอบๆ ตาพายุที่มีความกดอากาศต่ำ
โดยหมุนทวนเข็มนาฬิกาในซีกโลกเหนือ และตามเข็มนาฬิกาในซีกโลกใต้ ไม่ว่าบนดาวพฤหัสฯ
หรือบนโลก แต่แอนตี้ไซโคลนจะหมุนในทิศทางตรงกันข้ามกับไซโคลน
โดยหมุนรอบตาพายุที่มีความกดอากาศสูง จุดแดงใหญ่ตัวมันเองก็เป็นแอนตี้ไซโคลน
แม้ว่ามันจะมีขนาดใหญ่กว่าแอนตี้ไซโคลนมาเข้ามาชน 7 ถึง 8 เท่า
แต่แม้ว่าแอนตี้ไซโคลนขนาดเล็กบนดาวพฤหัสฯ ก็ยังมีขนาดถึงครึ่งโลก
หรือใหญ่เป็นสิบเท่าของพายุเฮอริเคนที่ใหญ่ที่สุดบนโลก จุดแดงใหญ่ดาวพฤหัสฯ
อยู่ที่ประมาณ 20 องศาใต้ศูนย์สูตรดาวเคราะห์
ลมของมันจึงหมุนทวนเข็มนาฬิกา
แอนตี้ไซโคลนขนาดเล็กชุดหนึ่งในจำนวนที่มากอยู่
เคลื่อนเข้าประชิดจุดแดงใหญ่ในปี 2019 ภาพบนแสดงแอนตี้ไซโคลนขนาดเล็กหมายเลข 1,
2 และ 3 เคลื่อนที่เข้าหาจุดแดงใหญ่
อีกสามภาพแสดงภาพขยายแอนตี้ไซโคลน
Sanchez-Lavega และเพื่อนร่วมงานตรวจสอบภาพบริวารของจุดแดงใหญ่ในช่วงสามปีหลัง
ที่ถ่ายโดยเครือข่ายนักดาราศาสตร์สมัครเล่นที่มีกล้องดูดาว
นักดาราศาสตร์อาชีพยังร่วมมือกับโครงงานสำรวจโดยใช้กล้องโทรทรรศน์ 2.2 เมตรที่หอสังเกตการณ์ คายาส อัลโต ในสเปน
เพื่อบันทึกภาพวัดแสงในช่วงตาเห็นและอินฟราเรดเพื่อเทียบมาตรฐาน(calibrate)
เพื่อวิเคราะห์การถ่ายเทความร้อนภายในและรอบๆ
พายุ ความร่วมมือที่เกิดขึ้นรวบรวมข้อมูลที่กว้างมาก
นักดาราศาสตร์สมัครเล่นที่มีกล้องดูดาวขนาด 8 ถึง 14 นิ้วจะจับตาดูจุดแดงใหญ่ตลอด
24 ชั่วโมง Glenn
Orton จากห้องทดลองไอพ่นขับดัน(JPL)
นักดาราศาสตร์สมัครเล่นยังทำการสำรวจอินฟราเรดใกล้
เพื่อตรวจสอบที่ 890 นาโนเมตรของก๊าซมีเธน
เช่นเดียวกับภาพสีแดง, เขียว, ฟ้า และอุลตราไวโอเลตใกล้บางส่วน
กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลยังให้การสำรวจความละเอียดสูงในช่วงยูวีที่ไม่สามารถสำรวจได้จากภาคพื้นดิน
ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการตรวจสอบความเร็วลมและอัตราการไหล
กล้องบนจูโนบันทึกภาพระยะประชิด
แต่เนื่องจากยานใช้เวลาเกือบทั้งหมดในวงโคจรของมันอยู่ไกลจากดาวเคราะห์
เวลาการสำรวจของจูโนจึงจำกัด อย่างไรก็ตาม
เครื่องวัดรังสีไมโครเวฟบนยานได้ตรวจสอบลึกลงไปในชั้นบรรยากาศดาวพฤหัสฯ
ให้ค่าความลึกของจุดแดงใหญ่
ทีมได้พบว่าแอนตี้ไซโคลนขนาดเล็กวิ่งผ่านทะลุวงแหวนลมความเร็วสูงรอบวงพายุจุดแดงใหญ่
ก่อนที่จะหมุนวนไปรอบๆ จุดรูปไข่สีแดง พายุขนาดเล็กสร้างความปั่นป่วนบางส่วนในความนิ่งด้านพลวัต
เป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชั่วคราวในการขยับลองจิจูดของจุดแดงใหญ่ที่กินเวลา 90
วัน และฉีกเมฆสีแดงออกจากจุดรูปไข่หลักและก่อตัวเป็นสะเก็ด(flakes) Sanchez-Lavega กล่าว
สะเก็ดชิ้นส่วนลอกออกจากจุดแดงใหญ่ดาวพฤหัสฯ
ในระหว่างที่มีแอนตี้ไซโคลนขนาดเล็กลูกหนึ่งเข้ามาใกล้
ตามที่เห็นในภาพความละเอียดสูงจาก JunoCam บนยานจูโนที่ถ่ายเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2019 แม้ว่าดูเหมือนการชนจะรุนแรง
แต่นักวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์เชื่อว่าเกิดขึ้นแค่ผิวๆ เหมือนกับเปลือกของเครมบรูเล่(crème
brulee)
Dowling บอกว่าทีมงานนี้ทำงานที่หินมากๆ
และต้องใช้ความระมัดระวังสุดขั้วมาก
โดยบอกว่าวัสดุสารสีแดงที่ฉีกออกมาที่เราเห็นก็คล้ายกับเคลมบรูเล่(crème
brulee) ซึ่งมีสะเก็ดที่ดูมีขนาดเพียงไม่กี่กิโลเมตรบนพื้นผิวของพายุซึ่งไม่ได้ส่งผลมากนักกับพายุที่มีความลึก
200 กิโลเมตร
นักวิจัยยังคงไม่ทราบว่าอะไรเป็นสาเหตุให้จุดแดงใหญ่หดตัวลงในช่วงหลายสิบปีนี้
แต่แอนตี้ไซโคลนเหล่านี้อาจจะกำลังรักษาสภาพพายุยักษ์ไว้ในตอนนี้
ไม่จำเป็นต้องมีการทำลาย(แอนตี้ไซโคลน) มันสามารถเพิ่มความเร็วการหมุนรอบตัวภายในของ
GRS ได้
และบางทีในระยะยาว จะรักษาให้มันคงสภาพสถิตไว้ได้ Sanchez-Lavega กล่าว
แหล่งข่าว phys.org
: Jupiter’s Great Red Spot feeds on smaller storms
skyandtelescope.com :
Jupiter’s Great Red Spot gets smaller- but stronger
No comments:
Post a Comment