หลุมดำมวลมหาศาลพบได้ทั่วเอกภพของเรา
เป็นหลุมแรงโน้มถ่วงปีศาจที่ยึดเกาะกาแลคซีไว้ด้วยกันและพรางตัวมันเองไว้ในก้อนฝุ่นที่หมุนเวียน
เปล่งรังสีเอกซ์สว่างออกมา บางครั้ง ลำวัสดุสารสว่างก็ปะทุออกจากขั้วของหลุมดำ
ก่อตัวเป็นไอพ่นที่เห็นได้ข้ามห้วงอวกาศ และขณะนี้ นักวิทยาศาสตร์บางคนก็สงสัยว่าปีศาจแรงโน้มถ่วงเหล่านี้อาจจะมีดาวเคราะห์รอบๆ
พวกมันได้หลายพันดวง
ภาพจากศิลปินแสดงเหนือยอดเมฆในชั้นบรรยากาศดาวเคราะห์ในทางทฤษฎีที่อาจก่อตัวรอบหลุมดำมวลมหาศาลในใจกลางกาแลคซี
นักวิทยาศาสตร์เรียกดาวเคราะห์ของหลุมดำเหล่านี้ในชื่อเล่นว่า blanets
บลาเนตเช่นนี้น่าจะก่อตัวขึ้นจากเมฆฝุ่นที่หมุนวนไปรอบๆ
หลุมดำ และพวกมันก็ไม่น่าจะแตกต่างจากดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์ปกติสักเท่าไหร่
บางดวงก็อาจแข็งแกร่งเป็นหินเหมือนอย่าง โลก แต่น่าจะมีขนาดใหญ่กว่าได้ถึงสิบเท่า
และบางส่วนก็อาจเป็นดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์ แต่แทบจะแน่นอนว่าเรามองไม่เห็นพวกมัน
เมื่อพวกมันซ่อนตัวอยู่ในดิสก์มวลสารที่ให้กำเนิดรอบหลุมดำตัวแม่
แต่ในรายงานคู่หนึ่งซึ่งเผยแพร่ใน Astrophysical Journal ในเดือนพฤศจิกายน 2019 และบนเวบ arXiv เดือนกรกฎาคม 2020 ตามลำดับ
ทีมนักวิจัยได้หาความเป็นไปได้ที่ดาวเคราะห์รอบหลุมดำเหล่านี้จะอยู่ได้
ไม่ใช่ว่าหลุมดำมวลมหาศาล(supermassive
black hole) ทุกแห่งน่าจะมีดาวเคราะห์อยู่รอบๆ
ได้ การพัฒนาลูกบอลวัสดุสารรอบๆ หลุมดำนั้น ยุ่งยากกว่าในดิสก์กำเนิดดาวเคราะห์(protoplanetary
disk) รอบดาวฤกษ์อายุน้อย
ฝุ่นและก๊าซที่หมุนวนรอบหลุมดำมวลมหาศาลแห่งหนึ่งแห่งใด
ก็มีความหนาแน่นน้อยกว่ามาก และสสารที่ตกลงสู่หลุมดำซึ่งเรืองร้อนจัดจนเปล่งโคโรนาที่ขอบฟ้าสังเกตการณ์
ก็อาจจะร้อนเกินไปและสว่างเกินไปจนน้ำแข็งไม่สามารถก่อตัวขึ้นในส่วนใดของดิสก์ฝุ่นก๊าซนี้ได้เลย
และน้ำแข็งก็เป็นองค์ประกอบหลักสำหรับการก่อตัวดาวเคราะห์
อนุภาคฝุ่นที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งดูจะเกาะเข้าด้วยกันเมื่อพวกมันชนกัน
ลองคิดถึงว่าน้ำแข็งสองก้อนจะเกาะอยู่ด้วยกันอย่างไรเมื่อชนกันและกัน
เมื่อเทียบกับก้อนกรวดสองก้อนที่แน่นอนว่าเกาะติดกันแทบไม่ได้ Keiichi Wada
ผู้เขียนนำ
นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยคาโกชิมา ในญี่ปุ่น กล่าว เมื่อเวลาผ่านไป
ก้อนเหล่านั้นจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
และมีแรงโน้มถ่วงที่พัฒนาจนรุนแรงมากพอที่จะดึงฝุ่นเพิ่มเข้ามาได้อีกมาก
ก้อนฝุ่นจะมีขนาดใหญ่พอจนก่อตัวดาวเคราะห์หินได้
คล้ายๆ กัน
เมื่อไม่มีน้ำแข็งหรือน้ำแข็งแห้ง(dry ice; คาร์บอนไดออกไซด์ในรูปของแข็ง) ก็ยากมากๆ ที่จะสร้างบลาเนตขึ้นได้ Wada กล่าว หลุมดำบางแห่งมีเส้นหิมะ(snow
lines) ในดิสก์มวลสารที่ล้อมรอบมัน
ซึ่งเป็นพื้นที่ในอวกาศที่เย็นพอที่น้ำแข็งจะก่อตัวขึ้นได้ เลยจากเส้นนี้ไป
อนุภาคฝุ่นจะถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง Wada กล่าว
ด้วยเหตุนี้ จึงง่ายที่จะเกาะกันเมื่อพวกมันชนกัน
กลไกการก่อตัววัตถุดิบสำหรับดาวเคราะห์ โดยบอกว่ารอบเม็ดฝุ่นมีน้ำแข็งบางๆ เคลือบไว้เมื่อเม็ดฝุ่นชนกัน ความร้อนจะทำให้ชั้นน้ำแข็งนี้หลอมเหลว และแข็งตัวในสภาพแวดล้อมในอวกาศอีกครั้ง ยึดเกาะเม็ดฝุ่นไว้
เลยจากเส้นหิมะออกไป
บลาเนตหินน่าจะก่อตัวขึ้นจากก้อนฝุ่นน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ได้ภายใน 10
ล้านปี ถ้าบลาเนตทารกหินเหล่านี้
ดึงดูดก๊าซได้มากพอ พวกมันก็จะก่อตัวดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์ได้
แต่จะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าปราศจากฟิล์มน้ำแข็งบางๆ บนเม็ดฝุ่น และเนื่องจากการก่อตัวของบลาเนตไม่ถูกจำกัดไว้เหมือนกรณีดาวเคราะห์ปกติ
พวกมันจึงมีขนาดใหญ่มโหฬารมาก ดังนั้น SMBHs ที่มืดกว่าเย็นกว่า(อย่างหลุมดำที่ใจกลางทางช้างเผือก)
ก็น่าจะเป็นบ้านของดาวเคราะห์ประหลาดเหล่านี้ที่เป็นไปได้มากที่สุด
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ Wada บอกว่าบลาเนตก็ไม่ได้น่าประหลาดใจมากมายอะไรนัก
ดิสก์กำเนิดดาวเคราะห์ก็ไม่ต่างกับดิสก์มวลสารที่หมุนวนรอบหลุมดำ
แต่ไม่มีใครเคยสนใจจะสืบหาว่าจะมีดาวเคราะห์ก่อตัวขึ้นรอบ SMBH มาก่อนเลย
บางทีอาจเป็นเพราะนักวิจัยในแขนงการก่อตัวดาวเคราะห์
ไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับนิวเคลียสกาแลคซีกัมมันต์(active galactic
nuclei) และก็ในทางกลับกันด้วย
Wada กล่าว
สำหรับการเป็นนิวเคลียสกาแลคซีกัมมันต์
ซึ่งเป็นสถานะหนึ่งในวิวัฒนาการกาแลคซี ที่เกิดขึ้นราว 1 ร้อยล้านปี
ก็จะเพิ่มความจำกัดเรื่องพื้นที่ที่บลาเนตจะสามารถก่อตัวขึ้นได้ แต่ในขณะเดียวกัน
ก็ส่งเสริมการก่อตัวบลาเนตด้วย
เนื่องจากผลกระทบจากการแผ่รังสีจากนิวเคลียสกาแลคซีกัมมันต์ที่มีต่อเมฆฝุ่น
น่าจะผลักดันให้อนุภาคไหลออกจากหลุมดำสร้างเป็นลมวัสดุสารใหม่ๆ
ให้กับการก่อตัวดาวเคราะห์ ที่พัดอย่างคงที่ ภายใต้สภาวะพิเศษนี้
บลาเนตก็จะยิ่งเจริญได้เร็วขึ้นและอาจมีขนาดใหญ่ถึง 3000 เท่ามวลโลก(ซึ่งก็ใหญ่พอที่จะก่อตัวดาวแคระน้ำตาลได้ทีเดียว)
แต่ถ้าปราศจากลมฝุ่น บลาเนตก็น่าจะเจริญไม่เกิน 6 เท่ามวลโลก ผลสรุปของเราบอกว่าบลาเนตน่าจะก่อตัวรอบนิวเคลียสกาแลคซีกัมมันต์ที่มีกำลังสว่างค่อนข้างต่ำได้ทันเวลาช่วงสถานะนั้น
พวกเขาเขียนไว้ในรายงาน
หลุมดำที่มีกิจกรรมสูง ที่เรียกว่า active galactic nucleus
มันยากที่จะจินตนาการว่าบลาเนตเหล่านี้จะมีพื้นผิวเป็นอย่างไร
นอกเหนือจากความประหลาดที่โคจรรอบหลุมดำมวลมหาศาลแล้ว
ตัวบลาเนตเองก็น่าจะโคจรอยู่ห่างจากกันและกัน และจากหลุมดำ
มากกว่าที่โลกห่างจากดาวเคราะห์พี่น้อง หรือดวงอาทิตย์ ในกรณีบลาเนตอาจจะอยู่ห่างไกลจากหลุมดำได้ถึงระดับร้อยล้านล้านกิโลเมตร
หรือหลายสิบปีแสงเลยทีเดียว ซึ่งต้องใช้เวลาโคจรถึง 1 ล้านปีเพื่อให้ครบรอบ ทำให้พวกมันโดดเดี่ยวจนน่าพิศวง
และในตอนนี้
ก็ไม่มีทางทราบว่าจะมีชีวิตอุบัติบนบลาเนตได้หรือไม่
การแผ่รังสีอุลตราไวโอเลตและรังสีเอกซ์จากกลุ่มก๊าซร้อนจัด(corona) เหนือหลุมดำจะยอมให้สิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ในส่วนที่โดดเดี่ยวในอวกาศได้หรือไม่
แล้วผู้อาศัยบนบลาเนตที่มองหาดาวฤกษ์แม่และจะแปลกใจว่าที่นั้นก็มีลูกบอลหินและก๊าซล้อมรอบ
ด้วยหรือไม่
แหล่งข่าว space.com
- thousands of Earthlike “blanets” might circle the Milky Way’s central
black hole
astronomy.com –
blanet: a new class of planet that could form around black holes
sciencealert.com – we
have ploonets. We have moonmoons. Now hold onto your hats for..blanets
No comments:
Post a Comment