ภาพจากศิลปินแสดงซุปเปอร์โนวาเหตุการณ์หนึ่งซึ่งผลักดาวแคระขาวดวงหนึ่งออกมา
การค้นพบดาวที่วิ่งหนี(runaway star) เพิ่มอีกหกดวงในทางช้างเผือก
ได้พบดาววิ่งหนีที่เคลื่อนที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยพบมาด้วย ในความเป็นจริง
มีสองดวงในนี้ที่มีความเร็วจนเป็นสถิติ โดยมีความเร็วแนวสายตาเทียบกับดวงอาทิตย์(heliocentric
radial velocity) เร็วกว่าดาววิ่งหนีใดๆ
ที่เคยพบมา
ดาว J1235 มีความเร็วที่ 1694 กิโลเมตรต่อวินาที ส่วน J0927 กลับเร็วถึง 2285 กิโลเมตรต่อวินาที แต่วัตถุที่เพิ่งค้นพบใหม่อีก 4
ดวงก็ยังเป็นดาวที่มีความเร็วสูงผิดปกติ(hypervelocity
stars) ซึ่งเป็นดาวที่เดินทางด้วยความเร็วมากกว่าความเร็วหลุดพ้น(escape
velocity) ของทางช้างเผือก
และตามที่ทีมที่นำโดย Kareem
El-Badry นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ที่ศูนย์ฮาวาร์ดสมิธโซเนียนเพื่อดาราศาสตร์ฟิสิกส์
บอกว่า ทั้งสี่ดวงน่าจะเป็นผลจากการระเบิดซุปเปอร์โนวาชนิดหนึ่งเอ
ซึ่งเป็นการระเบิดที่เป็นเทียนมาตรฐาน(standard candles) ที่เราใช้ตรวจสอบเอกภพ นักวิจัยบอกว่า
ดาวเหล่านี้ช่วยในการคำนวณอัตราที่ดาวความเร็วสูงผิดปกติเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเสียใหม่
และพบว่าสอดคล้องกับอัตราการเกิดซุปเปอร์โนวาหนึ่งเอที่เคยประเมินไว้
การค้นพบเผยแพร่ในรายงานในOpen Journal
of Astrophysics และออนไลน์ใน arXiv
ประชากรดาววิ่งหนีมวลต่ำที่สลัวกว่ายังรอคอยการค้นพบอีกมากมาย
นักวิจัยเขียนไว้
ทุกๆ ครั้งที่ดาวฤกษ์ระเบิด
แรงจากการทำลายตัวเองอาจผลักสิ่งใดก็ตามที่หลงเหลืออยู่ออกสู่อวกาศด้วยความเร็วสูง
คิดกันว่าดาวความเร็วสูงผิดปกติเป็นผลิตผลจากซุปเปอร์โนวาชนิดที่จำเพาะ
ซึ่งทำให้ดาวถูกผลักด้วยแรงที่รุนแรงกว่าที่ควร
เป็นสิ่งที่เรียกว่าซุปเปอร์โนวาดีซิกซ์(D6; dynamically driven
double-degenerate double-detonation) ซึ่งมีลำดับเหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อมีดาวแคระขาวคู่หนึ่งในระบบดาวคู่
พวกมันเป็นซากแกนกลางของดาวฤกษ์มวลต่ำไม่เกิน 8 เท่ามวลดวงอาทิตย์
ซึ่งปราศจากวัตถุดิบในการหลอมนิวเคลียสแล้ว จึงผลักมวลเกือบทั้งหมดของพวกมันออกมา
และแกนกลางยุบตัวหนาแน่นและสว่างด้วยความร้อนที่เหลืออยู่
วัตถุนี้เป็นที่รู้จักว่า ดาวเสื่อมถอย(degenerate stars)
ดาวแคระขาวก็มีขีดจำกัดมวลซึ่งเรียกกันว่า
ขีดจำกัดจันทรเสกขา(Chandrasekhar limit) ที่ราว
1.4 เท่ามวลดวงอาทิตย์
ถ้ามีมวลสูงกว่าขีดจำกัดนี้ ดาวจะเริ่มไร้เสถียรภาพระเบิดเป็นซุปเปอร์โนวาหนึ่งเอ
และเพื่อมีมวลใกล้เคียงกับมวลวิกฤติ
ดาวแคระขาวจะต้องอยู่ในระบบดาวคู่กับดาวอีกดวงอย่างใกล้ชิดกันมากพอที่แรงโน้มถ่วงของดาวแคระขาวจะเริ่มดึงวัสดุสารออกจากดาวข้างเคียง
สะสมมวลเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปก็ขึ้นอยู่กับชนิดของดาวข้างเคียง
ถ้าดาวแคระขาวดึงวัสดุสารที่เป็นไฮโดรเจนออกมา
ก็จะสร้างโนวาคลาสสิค(classical nova) เป็นการระเบิดปฏิกิริยานิวเคลียร์บนพื้นผิวเฉพาะส่วนเ
อย่างไรก็ตาม ถ้าดาวข้างเคียงเป็นดาวแคระขาวที่มีชั้นฮีเลียมบนพื้นผิวหนาพอสมควร
ดาวตัวต้นเรื่องก็จะดึงฮีเลียมออกมาแทน นี่ทำให้เกิดชั้นฮีเลียมบนพื้นผิวดาวต้นเหตุมากขึ้นเรื่อยๆ
จนเมื่อมีความดันและความร้อนสูงมากพอ ก็จะเริ่มหลอมฮีเลียมเป็นคาร์บอนอย่างรวดเร็ว
นี่เองที่ทำให้เกิดการระเบิดเทอร์โมนิวเคลียร์
คล้ายกับสิ่งที่เกิดกับไฮโดรเจนในกรณีโนวาคลาสสิค
แต่การหลอมฮีเลียมบนพื้นผิวจะมีผลอีกอย่างคือ
คลื่นกระแทกของมันจะเหนี่ยวนำให้เกิดการระเบิดทำลายล้างระลอกที่สองในแกนกลางของดาวแคระขาว
สร้างซุปเปอร์โนวาขึ้นมา จึงกลายเป็น double-degenerate double-detonation และคิดว่าจะส่งดาวข้างเคียง(ที่ไม่ใช่ดวงที่เกิดระเบิดซ้อน)
วิ่งออกมาเร็วมาก เกิน 1000 กิโลเมตรต่อวินาที(เทียบกับความเร็วหลุดพ้นทางช้างเผือกที่
550 กิโลเมตรต่อวินาที)
ดาวความเร็วสูงผิดปกติเหล่านี้จึงออกไปในอวกาศอย่างแน่นอน
แต่เราไม่ทราบว่ามีพวกมันอยู่มากน้อยแค่ไหนข้างนอกนั้น
หรือเกิดซุปเปอร์โนวาหนึ่งเอที่สร้างดาวเหล่านี้ได้บ่อยแค่ไหน ดังนั้น El-Badry
และเพื่อนร่วมงานจึงขุดค้นข้อมูลจากการสำรวจของดาวเทียมไกอา
ซึ่งเป็นปฏิบัติการที่ทำแผนที่ทางช้างเผือกด้วยความแม่นยำมากที่สุดเท่าที่เคยทำมา
รวมถึงตรวจสอบความเร็วเฉพาะ(proper motion) ของดาวเมื่อดาววิ่งไปรอบทางช้างเผือกด้วย
พวกเขาพบดาวความเร็วสูงผิดปกติ 4 ดวงที่ไม่เคยพบมาก่อนซึ่งมีกำเนิดแบบดีซิกซ์
แม้อาจจะดูไม่มากแต่เมื่อรวมกับที่จำแนกก่อนหน้านี้ 10 ดวงที่มีกำเนิดจากการผลักของซุปเปอร์โนวา
ก็ทำให้มีการคำนวณจำนวนของวัตถุเหล่านี้ได้แม่นยำมากขึ้น ในความเป็นจริงแล้ว
กาแลคซีของเราควรจะมีดาวความเร็วสูงจำนวนหนึ่งที่มาจากกาแลคซีแห่งอื่นด้วย
มีซุปเปอร์โนวาหนึ่งเอที่สร้างดาวดีซิกซ์ในสัดส่วนพอสมควร กาแลคซีน่าจะยิงดีซิกซ์ออกสู่ห้วงอวกาศระหว่างกาแลคซีมากกว่า
10 ล้านดวง
นักวิจัยเขียนไว้
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ
น่าจะมีดาวดีซิกซ์สลัวอีกจำนวนมากที่ถูกยิงออกจากกาแลคซีทั้งผองที่อยู่ในละแวกท้องถิ่นของเรา
วิ่งผ่านเข้ามาในระบบสุริยะ
จริงๆ
แล้วในทางช้างเผือกยังมีดาวที่มีความเร็วสูงกว่านี้อีก
แต่บริบทของพวกมันกลับแตกต่างออกไป ดาวที่โคจรรอบหลุมดำในใจกลางทางช้างเผือก
อาจมีความเร็วสูงจนไม่น่าเชื่อ ดวงที่มีความเร็วสูงที่สุดถึง 24,000 กิโลเมตรต่อวินาทีเมื่อมันเหวี่ยงตัวเข้าใกล้หลุมดำในวงโคจรที่ยาวรี
อย่างไรก็ตาม พวกมันยังยึดเกาะในวงโคจร
และไม่ได้วิ่งจนหลุดออกจากทางช้างเผือกในอนาคตอันใกล้นี้
ยกเว้นแต่จะมีปฏิสัมพันธ์ไตรภาคี(three-body interaction) เกิดขึ้นและดีดมันออกมา
ก่อนหน้านี้
ดาววิ่งหนีที่มีความเร็วสูงที่สุดเท่าที่เคยพบเป็นดาวแคระดีซิกซ์ในระบบคู่
โดยมีความเร็วราว 2200 กิโลเมตรต่อวินาที
ความเร็วแนวสายตาเทียบกับดวงอาทิตย์อยู่ที่ 1200 กิโลเมตรต่อวินาที
ซึ่งเป็นความเร็วที่เราได้เห็นมัน แต่สำหรับ J0927 และ J1235 นักวิจัยคำนวณว่า ความเร็วโดยรวมจะอยู่ที่ 2753
และ 2670 กิโลเมตรต่อวินาที ตามลำดับ
อาจมีดาวอีกมากมายที่มีความเร็วมากกว่านั้น
แต่ดูเหมือนเราจะพบได้แค่ดาวกลุ่มที่สว่างที่สุดเท่านั้น
ซึ่งบอกว่าเรายังหาไม่เจออีกมากมาย การค้นพบใหม่ได้ให้ข้อมูลจำนวนมากในการระบุว่าจะหาพวกมันได้ที่ไหนและอย่างไร
ขณะนี้น่าจะมีประชากรดาวความเร็วสูงผิดปกติจำนวนพอสมควรที่มีความเกี่ยวข้องกับซุปเปอร์โนวาเทอร์โมนิวเคลียร์
นักวิจัยเขียนไว้
การจำลองประชากรกลุ่มนี้สุดท้ายจะช่วยบอกถึงอัตราการสร้างดาววิ่งหนีจากเทอร์โมนิวเคลียร์และสัดส่วนของซุปเปอร์โนวาหนึ่งเอ
ที่ก่อตัวผ่านช่องทางสสารเสื่อมถอยสองสถาน
การประเมินอัตราการเกิดดาวดีซิกซ์ของเรานั้นสอดคล้องกับลำดับเหตุการณ์ที่หนึ่งเอสร้างดาวแคระขาววิ่งหนีความเร็วสูงผิดปกติเหล่านี้เกือบทั้งหมด
แต่ประชากรกลุ่มที่สำรวจพบก็เต็มไปด้วยพวกนักวิ่งหนีที่มีมวลสูงสุดและสว่างที่สุดเท่านั้น
ยังต้องการแบบจำลองวิวัฒนาการดาวดีซิกซ์เพื่อประเมินอัตราการสร้างให้ดีขึ้น
แหล่งข่าว sciencealert.com
: scientists detect fastest runaway star ever seen in the Milky Way
iflscience.com : fastest
runaway star in Milky Way discovered moving at 2285 km/s
No comments:
Post a Comment