ภาพตัดขวางแสดงโครงสร้างภายในของดาวนิวตรอน
สสารที่ใจกลางดาวนิวตรอน
ซึ่งเป็นซากความหนาแน่นสูงจากดาวฤกษ์มวลสูงที่เกิดระเบิด
อยู่ในสภาพสุดขั้วที่สุดเท่าที่เราเคยตรวจสอบมา ขณะนี้ ต้องขอบคุณข้อมูลจาก NICER
ของนาซาซึ่งเป็นกล้องโทรทรรศน์รังสีเอกซ์บนสถานีอวกาศนานาชาติ
นักวิทยาศาสตร์จึงได้พบว่าสสารปริศนานี้มีการบีบอัดตัวน้อยกว่าที่นักฟิสิกส์บางคนได้เคยทำนายไว้
การค้นพบนี้มีพื้นฐานจากการสำรวจ PSR
J0740+6620(เรียกสั้นๆ ว่า
J0740) ซึ่งเป็นดาวนิวตรอนที่มีมวลสูงที่สุดเท่าที่เคยพบมาโดย
NICER(Neutron Star Interior Composition Explorer) อยู่ห่างออกไป 3600 ปีแสงในกลุ่มดาวยีราฟ(Camelopardalis)
J0740 อยู่ในระบบดาวคู่แห่งหนึ่ง
กับดาวแคระขาวซึ่งก็เป็นซากที่เย็นของดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์ และกำลังหมุนรอบตัว 346
รอบต่อวินาที
การสำรวจก่อนหน้านี้ได้ให้ค่ามวลดาวนิวตรอนไว้ที่ 2.1 เท่ามวลดวงอาทิตย์
Zaven Arzoumanian นักวิทยาศาสตร์นำทีม NICER ที่ศูนย์การบินอวกาศกอดดาร์ด ในกรีนเบลท์
มารีแลนด์ กล่าวว่า เรามีสสารปกติรอบๆ ตัว เป็นสสารที่ชีวิตประจำวันของเราต้องพบ
แต่ก็มีที่ยังไม่ทราบอีกมากว่า สสารมีพฤติกรรมอย่างไรและมันแปรสภาพอย่างไร
ภายใต้สภาวะที่สุดขั้ว ด้วยการตรวจสอบขนาดและมวลชองดาวนิวตรอนด้วย NICER เรากำลังได้ตรวจสอบสสารที่ใกล้จะยุบตัวกลายเป็นหลุมดำ
ซึ่งเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วเราจะสามารถศึกษาสสารนี้ได้อีกต่อไปเนื่องจากมันจะถูกซ่อนไว้โดยขอบฟ้าสังเกตการณ์ของหลุมดำ
Arzoumanian และสมาชิกทีม NICER ได้นำเสนอการค้นพบในการประชุมเสมือนจริงวันเสาร์ที่
17 เมษายน
ของสมาคมฟิสิกส์อเมริกัน
และรายงานการค้นพบและนัยสำคัญของการค้นพบกำลังมีการพิชญพิจารณ์
ในช่วงบั้นปลายชีวิต
ในแกนกลางของดาวฤกษ์ที่มีมวลหลายเท่าดวงอาทิตย์ เชื้อเพลิงจะหมดลง
ดาวจะยุบตัวภายใต้มวลของมันและระเบิดกลายเป็นซุปเปอร์โนวา
ดาวที่ระเบิดเหล่านี้พวกที่หนักจะกลายเป็นหลุมดำ
แต่พวกที่มีมวลเบาลงมาจะให้กำเนิดดาวนิวตรอน
ซึ่งบีบอัดมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ไว้ในทรงกลมก้อนหนึ่งที่มีขนาดเพียงสิบกว่ากิโลเมตรเท่านั้น
นักวิทยาศาสตร์คิดว่าดาวนิวตรอนมีการเรียงตัวเป็นชั้น ที่พื้นผิวจะมีชั้นบรรยากาศบางๆ
ที่เป็นอะตอมของไฮโดรเจนหรือฮีเลียมวางอยู่บนเปลือกที่แข็งของอะตอมที่หนักกว่า
ในเปลือก แรงดันที่เพิ่งขึ้นอย่างรวดเร็วมากจะฉีกอิเลคตรอนออกจากนิวเคลียสอะตอม
เมื่อลึกลงไปอีก ในแกนกลางส่วนนอก นิวเคลียสจะแยกออกเป็นนิวตรอนและโปรตอน
แรงดันมหาศาลจะบีบอิเลคตรอนและโปรตอนเข้าด้วยกัน
ก่อตัวเป็นทะเลของนิวตรอนเกือบทั้งหมดซึ่งสุดท้ายจะบีบอัดกันจนมีความหนาแน่นเป็น 2
เท่าของนิวเคลียสอะตอมปกติ
แต่สสารในแกนกลางส่วนในจะอยู่ในรูปอะไร
จะเป็นนิวตรอนลงไปทั้งหมด หรือนิวตรอนนั้นแตกออกเป็นองค์ประกอบที่เรียกว่า ควาร์ก(quarks)
กันแน่ นักฟิสิกส์ได้ถามคำถามนี้มาตั้งแต่ที่ Walter
Baade และ Fritz
Zwicky ได้เสนอการมีอยู่ของดาวนิวตรอนในปี
1934 เพื่อตอบคำถามนี้
นักดาราศาสตร์ต้องการการตรวจสอบทั้งขนาดและมวลของวัตถุเหล่านี้อย่างแม่นยำ
สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้พวกเขาได้คำนวณความสัมพันธ์ระหว่างความดัน-ความหนาแน่นในแกนกลางส่วนในของดาวนิวตรอน
และประเมินความสามารถในการบีบอัดตัว(squeezability) ของสสารได้
ตามแบบจำลองเดิมของดาวนิวตรอนทั่วไป
ซึ่งมีมวลราว 1.4 เท่ามวลดวงอาทิตย์
นักฟิสิกส์คาดว่าแกนกลางส่วนในจะเต็มไปด้วยนิวตรอนเกือบล้วนๆ
ความหนาแน่นที่ต่ำกว่าจะเป็นตัวบอกว่านิวตรอนจะยังคงสภาพอยู่ได้
และความแข็งแกร่งของ(แกนกลาง) ส่วนในนี้ ก็เป็นผลให้ดาวนิวตรอนมีขนาดใหญ่กว่า
ในกรณีของดาวนิวตรอนมวลสูงกว่าอย่าง J0740
ความหนาแน่นของแกนกลางส่วนในจะสูงกว่ามาก
บีบนิวตรอนเข้าด้วยกัน
ยังคงไม่แน่ชัดว่านิวตรอนจะยังคงสภาพไว้ได้ภายใต้สภาวะเหล่านี้หรือไม่มันก็แตกออกเป็นควาร์ก
นักทฤษฎีสงสัยว่านิวตรอนน่าจะแตกออกภายใต้แรงดันมหาศาล
แต่ก็ยังมีคำถามมากมายเกี่ยวกับรายละเอียด เพื่อให้ได้คำตอบ
นักวิทยาศาสตร์จึงต้องตรวจสอบขนาดของดาวนิวตรอนมวลสูงอย่างแม่นยำ
ขนาด(ทางกายภาพ-ผู้แปล)
ที่เล็กน่าจะบอกเป็นนัยถึงลำดับเหตุการณ์ที่มีควาร์กวิ่งเพ่นพล่านอย่างเป็นอิสระที่ส่วนในสุด
เนื่องจากเสี้ยวอนุภาคเหล่านี้สามารถบีบอัดตัวได้ใกล้ชิดมากกว่า ส่วนดาวที่ใหญ่กว่าก็น่าจะบอกถึงการมีอยู่สสารในรูปแบบที่ซับซ้อนมากกว่า
เพื่อตรวจสอบขนาดอย่างแม่นยำ NICER ได้สำรวจดาวนิวตรอนที่หมุนรอบตัวอย่างรวดเร็วมากที่เรียกว่า
พัลซาร์(pulsars)
จุดร้อนที่เปล่งรังสีเอกซ์สว่างก่อตัวขึ้นบนพื้นผิวของวัตถุเหล่านี้
เมื่อพัลซาร์หมุนรอบตัว
จุดร้อนก็จะหมุนเข้าและออกจากสายตาของเราเหมือนกับลำแสงของประภาคาร
สร้างการแปรผันในความสว่างรังสีเอกซ์เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
แต่พัลซาร์ก็ยังมีความหนาแน่นสูงมากจนแรงโน้มถ่วงของพวกมันสามารถบิดห้วงกาลอวกาศรอบๆ
ได้ เหมือนกับลูกโบว์ลิงที่วางอยู่บนแทรมโพลิน การรบกวนนี้รุนแรงมากพอที่จะเป็นสาเหตุให้แสงจากด้านไกลของดาวนิวตรอน
ซึ่งเป็นแสงที่เราไม่ควรจะได้เห็น
ก็ปรากฏขึ้นให้เราได้เห็นทำให้พัลซาร์ดูใหญ่กว่าที่เป็นจริง
มวลขนาดเดียวกันในปริมาตรที่เล็กลงจะยิ่งสร้างการรบกวนที่รุนแรงมากขึ้น
ปรากฏการณ์นี้อาจรุนแรงอย่างมากจนมันทำให้จุดร้อนไม่หายไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อจุดร้อนหมุนไปรอบๆ พัลซาร์
นักวิทยาศาสตร์สามารถใช้ประโยชน์จากปรากฏการณ์นี้ได้เนื่องจาก NICER
ตรวจสอบการมาถึงของรังสีเอกซ์แต่ละครั้งได้ดีกว่า
100 นาโนวินาที
ด้วยการตามรอยว่าความสว่างรังสีเอกซ์ของพัลซาร์เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเมื่อมันหมุนรอบตัว
นักวิทยาศาสตร์ก็สามารถบอกได้ว่ามันรบกวนกาลอวกาศอย่างไร เมื่อพวกเขาทราบมวล
ก็สามารถแปลผลการรบกวนนี้ให้เป็นขนาดได้
สองทีมใช้หนทางที่แตกต่างกันในการทำแบบจำลองขนาดของ J0740 ทีมหนึ่งที่นำโดย Thomas Riley และ Anna Watts นักวิจัยหลังปริญญาเอก
และศาสตราจารย์ด้านดาราศาสตร์ฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม ตามลำดับ
ได้ประเมินว่าพัลซาร์มีความกว้างราว 24.8 กิโลเมตร
อีกทีมซึ่งนำโดย Cole Miller ศาสตราจารย์ด้านดาราศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยมารีแลนด์
คอลเลจพาร์ค พบว่า J0740 มีความกว้างราว
27.4 กิโลเมตร
ผลสรุปทั้งสองซ้อนทับกันอย่างมีนัยสำคัญในระดับความคลาดเคลื่อน(22.8-27.4 กิโลเมตร และ 24.4-32.6 กิโลเมตร) ตามลำดับ
นอกเหนือจากข้อมูลของ NICER ทีมทั้งสองยังรวมการสำรวจรังสีเอกซ์จากดาวเทียม XMM-Newton
ขององค์กรอวกาศยุโรป(ESA) ซึ่งมีประโยชน์ในการนับคลื่นรบกวนที่พื้นหลัง(background
noise) มวลของ J0740
เคยถูกตรวจสอบโดยการตรวจสอบคลื่นวิทยุโดยนักวิทยาศาสตร์จาก
NANOGrav(North American Nanohertz Observatory for Gravitational Waves) และ CHIME(Canadian Hydrogen Intensity
Mapping Experiment)
ในปี 2019
ทีมของ Riley และทีมของ Miller ใช้ข้อมูล NICER เพื่อประเมินขนาดและมวลของพัลซาร์ J0030+0451(เรียกสั้นๆ ว่า J0030) พวกเขาตรวจสอบวัตถุว่ามีมวลประมาณ 1.4 เท่าดวงอาทิตย์ และมีความกว้าง 26 กิโลเมตร การตรวจสอบ J0740 ครั้งใหม่ของเราได้แสดงว่า แม้มันจะหนักกว่า J0030
เกือบ 50% แต่มันก็มีขนาดใกล้เคียงกัน
สิ่งนี้ท้าทายแบบจำลองการบีบอัดในแกนกลางดาวนิวตรอนบางงาน
ซึ่งรวมถึงเวอร์ชั่นที่บอกว่าภายในเป็นเพียงทะเลของควาร์ก ขนาดและมวลของ J0740
ยังสร้างปัญหาให้กับแบบจำลองการบีบอัดที่น้อยกว่าบางงานด้วย
ซึ่งบอกว่ามีแต่นิวตรอนและโปรตอนเท่านั้น
แบบจำลองทางทฤษฎีล่าสุดได้นำเสนอทางเลือกใหม่ เช่น
แกนกลางส่วนในเป็นส่วนผสมระหว่างนิวตรอน, โปรตอน
และสสารพิศวงที่ประกอบขึ้นจากควาร์ก หรือเป็นการรวมตัวของควาร์กในแบบใหม่ๆ
แต่ความเป็นไปได้ทั้งหมดนี้ก็ยังต้องมีการประเมินใหม่ในบริบท โดยใช้ข้อมูลจาก NICER
งานใหม่นี้
ขนาดของ J0740 ทำให้เหล่าบรรดานักทฤษฎีต้องงงงันและตื่นเต้น Sanjay
Reddy ศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน
ซึ่งศึกษาสสารภายใต้สภาวะที่สุดขั้ว แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการศึกษาใหม่นี้ กล่าว
การตรวจสอบของ NICER ร่วมกับการสำรวจผู้นำสารหลายทาง(multimessenger)
อื่นๆ
ดูเหมือนจะสนับสนุนแนวคิดที่ว่าแรงดันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากในแกนกลางดาวนิวตรอนมวลสูง
ในขณะที่ก็ไม่ได้บอกถึงการแปรสภาพสู่สสารรูปแบบที่บีบอัดได้มากขึ้นในแกนกลาง
นัยยะนี้จึงยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างถ่องแท้
ทีมของ Miller ยังตรวจสอบว่านักวิทยาศาสตร์สามารถประเมินขนาดของพัลซาร์ได้ดีแค่ไหน
โดยใช้การตรวจสอบ J0740 และ J0030
ของ NICER เพื่อประกอบกับข้อมูลที่มีอยู่แล้วจากพัลซาร์หนักอื่นๆ
และเหตุการณ์คลื่นความโน้มถ่วง(gravitational waves) ซึ่งเป็นระลอกในกาลอวกาศที่เกิดขึ้นจากการชนของวัตถุมวลสูงอย่างดาวนิวตรอนและหลุมดำ
ขณะนี้เราทราบรัศมีของดาวนิวตรอนมาตรฐาน ที่มีมวล 1.4 เท่าดวงอิทตย์ ในระดับความคลาดเคลื่อน 5%
Miller กล่าว
นั่นเหมือนการทราบขนาดของวอชิงตัน ดีซี ในระดับถึงหนึ่งส่วนสี่ไมล์ NICER ไม่เพียงแต่ช่วยเขียนหนังสือเรียนเกี่ยวกับดาวนิวตรอนขึ้นใหม่
แต่ยังปฏิวัติความเชื่อมั่นของเราในการตรวจสอบวัตถุที่ทั้งห่างไกลมากและมีขนาดเล็กมากด้วย
นอกเหนือจากทดสอบขีดจำกัดของสสารแล้ว
ดาวนิวตรอนยังให้วิธีใหม่ในการสำรวจห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่ด้วย ในปี 2018 ทีมนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรนาซา ได้ใช้ NICER
เพื่อแสดงให้เห็นระบบนำร่องในอวกาศอัตโนมัติทั้งหมดโดยใช้พัลซาร์เป็นครั้งแรก
ซึ่งน่าจะปฏิวัติความสามารถของเราในการนำทางยานหุ่นยนต์ออกสู่ส่วนที่ไกลโพ้นในระบบสุริยะและเลยออกไป
NICER เป็นเพื่อนร่วมทางที่ดีเยี่ยม Christina
Koch นักบินอวกาศนาซา
ซึ่งทำหน้าที่เป็นวิศวกรการบินบนสถานีอวกาศนานาชาติตั้งแต่เดือนมีนาคม 2019
ถึง กุมภาพันธ์ 2020 ได้สร้างสถิติการบินอวกาศหนึ่งรอบที่ยาวนานที่สุดสำหรับนักบินหญิง
ปฏิบัติการสร้างผลงานสูงกว่าความคาดหวังทั้งหมดจากสถานี
มันสร้างบันทึกวิทยาศาสตร์พื้นฐาน, วิทยาศาสตร์อวกาศ และนวัตกรรมเทคโนโลจี
ครั้งใหม่ ทั้งหมดเกิดขึ้นจากสภาพแวดล้อมที่เป็นอัตลักษณ์และห้องทดลองในวงโคจร
NICER ของนาซาที่กลางภาพ
เป็นกล้องโทรทรรศน์รังสีเอกซ์ที่ติดตั้งบนสถานีอวกาศนานาชาติ
แรงโน้มถ่วงของดาวนิวตรอนบิดห้วงกาลอวกาศใกล้เคียงเหมือนกับลูกโบว์ลิงบนแทรมโพลิน
การรบกวนนี้รุนแรงมากพอที่จะรวมแสงจากด้านไกลของดาว
ให้เข้ามาหาเราซึ่งทำให้ดาวนิวตรอนดูมีขนาดใหญ่กว่าที่เป็นจริง
ภาพตัดขวางแสดงโครงสร้างภายในของดาวนิวตรอน
แหล่งข่าว phys.org
: NASA’s NICER probes the squeezability of neutron stars
No comments:
Post a Comment