แบบจำลองเสมือนจริงแสดงดาวเคราะห์น้ำแข็งยักษ์สองดวงกำลังชนกัน
นักดาราศาสตร์ได้พบพิภพทารกสองดวงที่ชนกันรอบๆ
ดาวฤกษ์ที่คล้ายดวงอาทิตย์อายุน้อยดวงหนึ่ง ซึ่งอยู่ไกลออกไปมากกว่า 1800 ปีแสงในกลุ่มดาว (Puppis) การชนอาจจะทำให้ดาวเคราะห์ทารกทั้งสองกลายเป็นไอ
สร้างกลุ่มเมฆเศษซากก้อนมหึมาที่ยังคงโคจรรอบดาวฤกษ์แม่ สุดท้ายแล้ว บางทีเมื่อผ่านไปหลายล้านปี
กลุ่มเศษซากนี้ก็จะก่อตัวกลายเป็นพิภพแห่งใหม่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
และนักดาราศาสตร์กำลังเฝ้าดูมันอยู่
การชนกันของดาวเคราะห์ครั้งนี้ได้ให้โอกาสที่หาได้ยากสู่ความวุ่นวายในการก่อตัวดาวเคราะห์
และมันก็ยังให้โอกาสกับกล้องเวบบ์เพื่อศึกษาต่อไป แต่ในตอนแรกนั้น Matthew
Kenworthy ผู้นำการศึกษาจากมหาวิทยาลัยไลเดน
เนเธอร์แลนด์ส ไม่แน่ใจว่าเขากำลังได้เห็นอะไรกันแน่
เมื่อเขาสำรวจหาสิ่งอื่นจนในช่วงปลายปี 2021
ก็มีสัญญาณเตือนดาวฤกษ์ที่จางแสงลงดวงหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจ
ASAS-SN(All Sky Automated Survey for Supernovae) ซึ่งเป็นกลุ่มของกล้องโทรทรรศน์ 24 ตัวที่จับจ้องท้องฟ้า
ได้เตือนว่าดาวดวงนี้หรี่แสงลงอย่างฉับพลัน ในอีกหลายเดือนต่อมา ASAS-SN ได้บันทึกความสว่างที่ลดลงอย่างรุนแรงจนแทบจะหายไปก่อนที่ดาวจะกลับคืนสู่ความสว่างปกติของมัน
เมื่อมีประกาศเตือนในกลุ่ม ASAS-SN ผมก็เริ่มติดตามความสว่างของดาวที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป
Kenworthy กล่าว
ผมไม่ได้นึกถึงสิ่งอื่นใดเลยจนกระทั่งทวิตเตอร์จาก Arttu(Sainio- สมาชิกทีม) บอกว่า ASAS-SN21qj สว่างขึ้นในช่วงอินฟราเรดราว 4% ตั้งแต่ราวหนึ่งพันวันก่อนหน้านี้
เงื่อนงำนี้ชักนำให้นักดาราศาสตร์สรุปว่าเป็นการจบชีวิตพิภพอายุน้อยสองดวง
และให้กำเนิดพิภพแห่งใหม่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจากเศษซากของทั้งสองดวง เมฆเศษซากจากการชนบังแสงดาวนานสองปีครึ่ง
แต่ก็ยังต้องมีการสำรวจเพิ่มเติม
Kenworthy นำทีมที่วิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวมได้จากเครือข่ายกล้องโทรทรรศน์ทั่วโลก
ที่หอสังเกตการณ์ ลาส คัมเปรส และ WISE ทั้งก่อนและหลังการมืดลงของดาว
นักวิจัยพบว่าสองปีครึ่งที่ดาวจะมืดลงอย่างฉับพลัน มีบางสิ่งเกิดขึ้นรอบๆ
ดาวฤกษ์นี้ซึ่งสร้างแหล่งความร้อนใหม่แห่งหนึ่ง(และเปล่งรังสีอินฟราเรดออกมา)
ไม่ว่าอะไรที่เกิดขึ้นในปี 2018 วัสดุสารอุ่นด้วยอุณหภูมิราว 1000 เคลวิน และยังคงร้อนอย่างนั้นมานับแต่นั้น
เพื่ออธิบายทั้งการปรากฏของแหล่งความร้อนแห่งใหม่ในปี 2018 และการมืดลงอย่างฉับพลันในดาวในปี 2021 ทีมบอกไว้ในวารสาร Nature ว่า
มีการชนครั้งใหญ่เกิดขึ้นระหว่างดาวเคราะห์สองดวงที่มีขนาดระหว่างซุปเปอร์เอิร์ธ(super-Earths)
จนถึงกึ่งเนปจูน(sub-Neptunes)
พิภพเหล่านั้นโคจรที่ระยะทางตั้งแต่ 2
ถึง 16 AU เทียบกับในระบบของเรา ดาวอังคารโคจรที่ระยะ 1.5
AU และดาวเสาร์ที่ 9.5 AU ระยะทางที่เกิดการชนยังคลาดเคลื่อนเนื่องจากไม่สามารถตรวจสอบตำแหน่งจากภาพได้โดยตรง
แต่ประเมินจากกราฟแสงที่ติดตามการเปลี่ยนแปลงความสว่างของระบบนี้แทน
ทีมบอกว่าเป็นไปได้ที่อินฟราเรดที่สว่างขึ้นและแสงดาวที่มืดลง
แท้จริงแล้วเป็นเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
แต่พวกเขาก็บอกว่าถ้าเป็นเหตุการณ์สองเหตุการณ์มีโอกาสเกิดขึ้นได้ยากกว่าการชนของดาวเคราะห์
การคำนวณได้แสดงว่าการชนลักษณะนี้น่าจะทำให้พิภพทั้งสองกลายเป็นไอ
โดยมีวัสดุสารจำนวนค่อนข้างน้อยหนีไปหาดาวฤกษ์แม่ได้
เมื่อโคจรไปไม่กี่รอบ(ราวสองหรือสามร้อยปี)
ฝุ่นก็จะเกลี่ยออกกลายเป็นวงแหวนรอบดาวฤกษ์นี้ แต่สำหรับตอนนี้
เศษซากยังเป็นกลุ่มเมฆก้อนยักษ์ที่เรียวมีขนาด 0.25 AU และฝุ่นก็หนาทึบมากพอที่จะกันแสงดาวฤกษ์แม่จำนวนมากไว้ได้เมื่อเมฆเคลื่อนที่ผ่านหน้า
มวลเกือบทั้งหมดแม้เป็นไอก็ยังยึดเกาะกันด้วยแรงโน้มถ่วง Simon Lock
สมาชิกทีมจากมหาวิทยาลัยบริสตอล
สหราชอาณาจักร เคยเสนอว่าเศษซากอาจจะอยู่ในรูป synestia ซึ่งเป็นกลุ่มเมฆรูปโดนัทโดยมีวัสดุสารจำนวนมากแออัดในใจกลาง
การชนให้โอกาสแก่นักวิจัยในการทดสอบแนวคิดนี้
Kenworthy วางแผนจะขอเวลาการสำรวจจากกล้องเวบบ์
เพื่อพยายามตรวจสอบเมฆเศษซากนี้โดยตรง ผ่านแสงดาวที่สะท้อนกลับออกมา
ซึ่งอาจจะตรวจสอบขนาดและองค์ประกอบของอนุภาคในเมฆเศษซากได้
แหล่งข่าว skyandtelescope.com
: two worlds have ended in a planetary collision – and a new one has begun
sciencealert.com :
strange glow in space generated by two giant planets colliding
space.com : 1st
evidence of giant exoplanet collision afterglow explains unusual eclipse
No comments:
Post a Comment