แบบจำลองเสมือนจริงซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ชุดใหม่ได้เสนอคำตอบให้กับปริศนากำเนิดวงแหวนของดาวเสาร์
โดยบอกว่าเกิดจากการชนครั้งใหญ่เมื่อไม่นานมานี้
จากงานวิจัยใหม่ที่เผยแพร่ใน Astrophysical
Journal ซึ่งมีนาซา
และมหาวิทยาลัยเดอร์แรมและมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ บอกว่า
วงแหวนดาวเสาร์น่าจะพัฒนามาจากเศษซากของดวงจันทร์น้ำแข็งโบราณสองดวงซึ่งชนกันและกระจายออกเมื่อไม่กี่ร้อยล้านปีก่อน พวกมันน่าจะมีขนาดใกล้เคียงกับดวงจันทร์สองดวงในปัจจุบันของดาวเสาร์คือ
ไดโอเน่(Dione) และรีห์อา(Rhea)
เศษซากที่ไม่ได้กลายเป็นวงแหวนก็ยังอาจจะมีส่วนในการก่อตัวของดวงจันทร์ปัจจุบันบางส่วนของดาวเสาร์ด้วย
การตรวจสอบดาวเสาร์ด้วยคุณภาพสูงมาจากยานคาสสินี ซึ่งใช้เวลา 13 ปีศึกษาดาวเคราะห์วงแหวนและระบบของมัน
หลังจากเข้าสู่วงโคจรรอบดาวเสาร์ในปี 2004 คาสสินีได้เก็บข้อมูลที่แม่นยำสูง
จากการบินผ่านและบินพุ่งเข้าไปในช่องว่าง(gap) ระหว่างวงแหวนกับตัวดาวเสาร์เอง
คาสสินีพบว่าวงแหวนเป็นน้ำแข็งเกือบจะบริสุทธิ์ และสะสมฝุ่นน้อยมากๆ ซึ่งบอกว่า
พวกมันก่อตัวเมื่อไม่นานมานี้
ด้วยแรงบันดาลใจจากความเยาว์วัยของวงแหวน
ทีมวิจัยจึงใช้ COSMA ที่มหาวิทยาลัยเดอร์แรม
อันเป็นส่วนหนึ่งของระบบ DiRAC(Distributed Research Utilizing Advanced
Computing) ทีมจำลองการชนระหว่างดวงจันทร์ต้นกำเนิดว่าจะมีความแตกต่างกันอย่างไร
แบบจำลองเสมือนจริงอุทกพลศาสตร์นี้มีความละเอียดมากกว่าที่ใช้ในการศึกษาก่อนหน้านี้กว่าร้อยเท่า
ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์มีมุมมองที่ดีที่สุดสู่ความเป็นมาของระบบดาวเสาร์
Vincent Eke รองศาสตราจารย์ที่แผนกฟิสิกส์
สถาบันเพื่อเอกภพวิทยาการคำนวณ มหาวิทยาลัยเดอร์แรม กล่าวว่า
เราทดสอบสมมุติฐานที่บอกว่าวงแหวนดาวเสาร์เพิ่งก่อตัวเมื่อเร็วๆ นี้
และได้พบว่าการชนของดวงจันทร์น้ำแข็งนั้นสามารถส่งวัสดุสารเข้าไปใกล้ดาวเสาร์
เพื่อก่อตัวเป็นวงแหวนอย่างที่เราเห็นในทุกวันนี้ได้
ลำดับเหตุการณ์นี้โดยธรรมชาติแล้วนำไปสู่การก่อตัววงแหวนที่อุดมไปด้วยน้ำแข็ง
เนื่องจากเมื่อดวงจันทร์ต้นกำเนิดชนซึ่งกันและกัน หินในแกนกลางของวัตถุที่ชนกันจะกระจัดกระจายไปในวงแคบกว่า
น้ำแข็งที่อยู่ด้านนอกซึ่งจะกระจายไปใกล้กับพื้นผิวดาวเสาร์ได้มากกว่า
วงแหวนดาวเสาร์ในปัจจุบันอยู่ใกล้กับดาวเคราะห์ อยู่ภายในสิ่งที่เรียกว่า
ขีดจำกัดโรช(Roche limit) ซึ่งเป็นวงโคจรที่ไกลที่สุดที่แรงโน้มถ่วงจากดาวเคราะห์
จะทรงพลังมากพอที่จะทำลายวัตถุหินหรือน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่เข้ามาใกล้กว่านั้น
วัสดุสารที่โคจรอยู่ไกลออกไปจากขีดจำกัดนี้จะสามารถเกาะกุมตัวเข้าด้วยกันก่อตัวดวงจันทร์ได้
ด้วยการจำลองการชนหลากหลายแบบรวมเกือบ 200
แบบ ทีมวิจัยได้พบว่า
ลำดับเหตุการณ์การชนกลุ่มกว้างๆ ที่สามารถกระจายน้ำแข็งในปริมาณที่สอดคล้องเข้าสู่ขีดจำกัดโรชของดาวเสาร์ได้
ซึ่งจะไปก่อตัวเป็นวงแหวน ในสภาพที่มีน้ำแข็งมากพอๆ กับที่พบในปัจจุบัน
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าระบบวงแหวนของดาวเสาร์นั้นไม่ได้ก่อตัวขึ้นมาพร้อมกับดาวเคราะห์
วงแหวนน่าจะก่อตัวเมื่อไม่นานมานี้
สมมุติฐานทางเลือกหนึ่งบอกว่าอาจจะมีดวงจันทร์ดวงหนึ่งที่เข้าไปใกล้ดาวเสาร์มากเกินไป
ข้ามขีดจำกัดโรชไป แรงโน้มถ่วงจึงฉีกดวงจันทร์ออกและกระจายเศษซากกลายเป็นวงแหวน
แต่ลำดับเหตุการณ์จากการชนดูจะมีสีสันกว่ามาก ผลจากแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ยังอาจจะสร้างกำทอนกับดวงจันทร์สองดวงที่อยู่ใกล้กัน
ชักนำให้พวกมันชนกันในที่สุด
จากนั้นเศษซากก็กระจายไปทั่วระบบและส่งผลต่อดวงจันทร์อื่นๆ ด้วย
โดยปกติ เมื่อดวงจันทร์มีอายุมากขึ้น
พวกมันมักจะขยับออกห่าง อันเนื่องจากผลของแรงโน้มถ่วง วงโคจรของรีห์อาเองก็อยู่เลยเขตกำทอนออกมาเล็กน้อย
ถ้ารีห์อามีอายุเก่าแก่มันก็จะต้องมีกำเนิดในเขต และก็ไม่น่ารอดจนข้ามออกมาได้
แต่ถ้ามันอยู่ตรงนี้ สำหรับนักวิจัยแล้ว นี่บ่งชี้ว่าการชนได้ก่อตัววงแหวน
และแปรสภาพดวงจันทร์ กระทั่งกระจายน้ำแข็งให้กับดวงจันทร์อื่นๆ ในระบบด้วย
Jacob
Kegerreis อดีตนักศึกษาปริญญาเอกจากเดอร์แรม
ซึ่งขณะนี้เป็นนักวิทยาศาสตร์วิจัยที่สูนย์วิจัยเอมส์ของนาซา กล่าวว่า
ยังมีอะไรอีกมากที่เราไม่ทราบเกี่ยวกับระบบดาวเสาร์
รวมถึงดวงจันทร์ของมันที่มีสภาพแวดล้อมที่น่าจะเกื้อกูลสิ่งมีชีวิต
ดังนั้นจึงน่าตื่นเต้นที่ได้ใช้แบบจำลองเสมือนจริงขนาดใหญ่อย่างนี้เพื่อศึกษาในรายละเอียดว่า
ระบบมีพัฒนาการอย่างไร
Luis Teodoro จากมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ กล่าวว่า
อายุทางธรณีวิทยาของวงแหวนดาวเสาร์ที่ดูเหมือนจะน้อย
เป็นปริศนามานับตั้งแต่ยานวอยยาจเจอร์ส่งภาพแรกๆ จากดาวเสาร์กลับมาแล้ว
ความร่วมมือนี้ช่วยให้เราได้ตรวจสอบสภาพที่เป็นไปได้ที่ให้กำเนิด(วงแหวน)
โดยให้ผลที่น่าทึ่งมาก
แหล่งข่าว phys.org
: new simulations shed light on origins of Saturn’s rings and icy moons
space.com : a giant
moon collision may have given rise to Saturn’s iconic rings, study suggests
iflscience.com : Saturn’s
rings might have come from the collision between two icy moons
No comments:
Post a Comment